Page 184 -
P. 184
ิ
ิ
ั
ุ
ื
์
โครงการหนังสออเล็กทรอนกส เฉลมพระเกียรตสมเด็จพระเทพรตนราชสดาฯ สยามบรมราชกุมาร ี
ิ
ิ
สัมมนาวิชาการและนิทรรศการ “พระไตรปิฎกบาลีสู่สากล” 153
่
ค าว่า “บาป” หมายถึง กรรมอันยังบุคคลให้ถึงซึ่งทุกข์หรือสิ่งทีจะนาผู้กระท ากรรมนั้นไปสู ่
ทางแห่งความเสื่อม ดังทีพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า “บุคคลพึงรีบท าความดีพึงห้ามจิตจากบาปเพราะ
่
เมื่อท าบุญช้าไป ใจย่อมยินดีในบาป หากบุรุษพึงท าบาปไซร้ไม่พึงท าบาปนั้นบ่อย ๆ ไม่พึงท า
ความพอใจในบาปนั้น เพราะการสั่งสมบาปนาทุกข์มาให้” (ขุ. ธ. 25/19 /30) นอกจากนีในปกรณบาลี
์
้
ยังเรียก “บาป” คือ ความชั่ว อกุศล คือ ความไม่ฉลาด ทุจริตคือความประพฤติชั่ว อกรณียะคือ
กิจไม่ควรท า อธัมมจริยาคือความประพฤติไม่เปนธรรม วิสมจริยาคือความประพฤติไม่เสมอ และค าว่า
็
“บาป” ตามค าสอนของพระพุทธศาสนาจึงหมายถึงสิ่งทีเกิดจากการกระท าความชั่วทีประกอบด้วย
่
่
้
่
็
่
่
เจตนาอันมีพืนฐานมาจากกิเลสทีอยูภายในจิตใจเปนเหตุนาไปสูความเสื่อมโดยอาศัยการแสดงออก
ทางทวารทั้ง 3 คือ กายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร
้
่
็
่
็
ุ
ุ
มนษย์โดยธรรมชาติแล้วมีความดีเปนพืนฐานอยู่แล้ว ส่วนความชั่วทีมีอยูในมนษย์นั้นเปนผล
้
่
ทีเกิดขึนจากการปรุงแต่งของการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏฏ์) ของเขานั่นเอง ในคัมภีร์
ทางพระพุทธศาสนาเปรียบจิตของมนษย์ว่าเหมือนกับแร่ทองค าทีมีสนิมเหล็ก สนิมทองแดง สนิมดีบุก
ุ
่
สนิมตะกั่ว และสนิมเงินติดอยู เมือนาเอาความสกปรกเหล่านีออกเสียแล้ว ทองค าก็ส่องแสงสุกใส
่
้
่
ด้วยรัศมีตามธรรมชาติของมันเอง จิตของมนษย์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อก าจัดความชั่วหมดสินย่อมผ่องใส
ุ
้
ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “…จิตนั้นตามธรรมชาติแล้วย่อมผ่องใส แต่ขุ่นมัวไปเพราะกิเลสที่จรมา...”
่
(ม.มู.12/92/481) เพราะฉะนั้น แม้ว่ามนษย์จะมีความชั่วหรือบาปและมีความสามารถทีจะท าบาปได้
ุ
็
ก็มิได้หมายความว่ามนษย์เปน “สัตว์มีบาป” แต่ถือว่าเปน “สัตว์มุ่งความดี” เพราะมนษย์สามารถทีจะ
็
่
ุ
ุ
ท าความดีได้
็
ุ
็
ความดีเปนคนละด้านกับความชั่ว และทั้งความดีและความชั่วเปนสองด้านของชีวิตมนษย์
เพราะในชีวิตประจ าวันของมนษย์ตามความเปนจริงนั้น หากไม่ท าดีก็ท าชั่ว หรือหากไม่ท าชั่วก็ท าดี
ุ
็
็
่
่
ุ
่
การทีมนษย์จะอยูเฉย ๆ โดยไม่ท าดีหรือไม่ท าชั่วเลยนั้นเปนไปไม่ได้ ฉะนั้น เรืองของความดี
ุ
ความชั่ว หรือเรียกรวม ๆ ว่าเรื่องของศีลธรรมจึงถือว่าเปนเรืองของชีวิตมนษย์โดยตรง ไม่ว่ามนษย์
่
็
ุ
ุ
็
่
่
จะรู้หรือไม่รู้เรืองของความดี ความชั่ว ก็ตาม มนษย์ท าดีบ้าง ท าชั่วบ้างอยูเปนประจ า เพราะฉะนั้น
่
่
่
่
ุ
เรืองของความดี ความชั่วจึงเปนเรืองทีมนษย์ทุกคนควรจะรู้ เพราะเปนเรืองเกียวกับสวัสดิภาพ
่
็
็
ของชีวิตและสังคมของตนโดยตรง ดังพุทธพจนว่า เมื่อกรรมชั่วยังไม่ให้ผลคนชั่วอาจเห็นกรรมชั่ว
์
เปนกรรมดีแต่เมื่อกรรมชั่วให้ผลเขาย่อมเห็นกรรมชั่วว่าเปนกรรมชั่ว ส่วนคนดีอาจเห็นกรรมดี
็
็
็
็
เปนกรรมชั่ว เมื่อกรรมดียังไม่ให้ผลแต่เมื่อใดกรรมดีให้ผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรมดีเปนกรรมดี
(ขุ.ธ. 25/19/26)