Page 186 -
P. 186
ิ
์
ิ
ุ
ั
ิ
โครงการหนังสออเล็กทรอนกส เฉลมพระเกียรตสมเด็จพระเทพรตนราชสดาฯ สยามบรมราชกุมาร ี
ิ
ื
สัมมนาวิชาการและนิทรรศการ “พระไตรปิฎกบาลีสู่สากล” 155
ดังนั้น บ่อเกิดของการกระท าหรือแรงจูงใจที่ผลักดันให้บุคคลกระท าการต่าง ๆ นั้น ก็คือ
็
้
1) โลภะ ความโลภ อยากได้สิ่งของของผู้อื่นมาเปนของตน เมื่อมีโลภะ ความไม่ดีอย่างอื่นก็เกิดมีขึน
่
เช่น ความมักได้ ความตระหนี ความเห็นแก่ตัว 2) โทสะ ความโกรธ ความคิดร้ายผู้อื่น อันก่อให้เกิด
็
การจองเวรการท าร้ายเข่นฆ่ากัน เปนต้น 3) โมหะ ความหลงไม่รู้จริงว่าอะไรผิดอะไรถูก อันก่อให้เกิด
้
้
็
็
ความหัวดือถือดี เปนต้น ทั้งสามอย่างนีเรียกว่าอกุศลมูล หรือต้นเหตุของความชั่ว เปนบ่อเกิด
่
ของการกระท าทีชั่ว ส่วนอโลภะ ความไม่โลภ อโทสะ ความไม่โกรธ และ อโมหะ ความไม่หลง
็
คือการรู้และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ตามความเปนจริง เรียกว่า กุศลมูลหรือต้นเหตุของความดี เปนบ่อเกิด
็
่
่
่
่
ของการกระท าทีดี มีความถูกต้องดีงาม เมือใดก็ตามทีเราท ากรรมตามแรงผลักดันฝายดี
่
่
การกระท านั้นก็เปนความดี เพราะเปนฝายแห่งความเจริญ หากท าด้วยแรงผลักดันฝายชั่ว
็
็
่
ิ
การกระท านั้นก็ชั่ว เพราะเปนฝายแห่งความชั่ว ดังปรากฏในพระสุตตันตปฎกว่า
็
่
่
“ธรรมที่จัดอยูในฝายแห่งความเสื่อม 3 ประการ ได้แก่ อกุศลมูล 3 ประการ คือ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง ธรรม 3 ประการที่กล่าวมานี จัดอยู่ในฝายแห่งความเสื่อม ธรรมที่จัดอยู่ในฝาย
่
้
่
แห่งความเจริญ 3 ประการ ได้แก่ กุศลมูล 3 ประการ คือ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง และ
้
่
่
ธรรม 3 ประการที่กล่าวมานีจัดอยูในฝายแห่งความเจริญ” (ที.ปา.11/393-394)
็
ส าหรับพุทธจริยศาสตร์แล้ว ความโลภ โกรธ หลง เปนความชั่วในตัวมันเอง ในทางตรงกันข้าม
็
ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็เปนความดีในตัวมันเอง ค่า คือ ความดี ความชั่ว ในเจตสิกเหล่านี
้
่
่
มีอยูในเชิงปรวิสัย (Objective) ไม่หวั่นไหวเปลียนแปลงไปตามบุคคลหรือสังคม สามอย่างแรก
เปนรากเหง้าของความชั่ว สามอย่างหลังเปนรากเหง้าของความดี จึงกล่าวได้ว่ากุศลมูลดี เพราะ
็
็
็
็
็
็
เปนสิ่งดี อกุศลมูลชั่วเพราะเปนสิ่งชั่ว เมือกุศลเปนแรงจูงใจหรือเปนเจตสิกย้อมใจให้กระท ากรรม
่
่
่
กรรมนั้นเปนกรรมดีเสมอ เมือท ากรรมโดยได้รับแรงผลักจากฝายอกุศล กรรมนั้นเปนกรรมชั่วเสมอ
็
็
่
็
็
่
้
ความเปนระเบียบสม าเสมอเช่นนีเองทีเราเรียกว่าเปนสัมบูรณนิยมคือ มีเกณฑ์มาตรฐานตายตัว
ในการตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่ว
ในทีนีอกุศลมูลใช้ตัดสินความชั่ว กุศลมูลใช้ตัดสินความดี การทีบอกว่าเอากุศลมูลมาใช้ตัดสิน
่
่
้
ความดีก็เหมือนกับบอกว่าเอานิพพานมาเปนเกณฑ์ตัดสินความดีนั่นเอง เพราะการกระท าทีมีบ่อเกิด
่
็
์
็
่
่
มาจากกุศลมูลนั้นเปนการกระท าทีด าเนินไปสูนิพพาน ซึ่งพระเมธีธรรมาภรณ (ประยูร ธัมมจิตโต,
2533: 28) อธิบายว่า
็
“...นิโรธหรือนิพพานอันได้แก่ภาวะที่ความทุกข์ดับถือเปนคุณค่าสูงสุดในชีวิต นิพพาน
่
็
้
เปนเปาหมายของชีวิตชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มุ่งสูนิพพาน ชีวิตที่ไม่ดีคือชีวิตที่ด าเนินสวนทางนิพพาน