Page 83 -
P. 83

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว








                     อาร์เอ็นเอ (RNA) มีส่วนประกอบของเบสและมีคุณสมบัติตลอดจนหน้าที่แตกต่างจากดีเอ็น

                     เอ โดยน้ำตาลที่อยู่ในโครงสร้างเป็นน้ำตาลไรโบสและเบสที่พบเป็นยูเรซิลแทนที่ไธมีน อาร์

                     เอ็นเอที่พบในร่างกายมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับขนาดของโมเลกุล โดยแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่าง

                     กัน คือ messenger RNA (m-RNA) มีหน้าที่เป็นตัวพารหัสข้อมูลในการสังเคราะห์โปรตีน


                     ส่วน ribosomal RNA เป็นบริเวณที่เกิดการสังเคราะห์โปรตีน และ transfer RNA

                     (t-RNA) เป็นตัวพากรดอะมิโนเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน จุลินทรีย์หรือสิ่งมี-

                     ชีวิตเซลล์เดียว (single cell) เป็นแหล่งที่พบกรดนิวคลีอิคในระดับสูง โดยสาหร่ายพบประ-

                     มาณ 6-13% ยีสต์ 13-20% และแบคทีเรีย 15-25% ร่างกายสัตว์สามารถใช้กรดนิวคลีอิค

                     เป็นแหล่งไนโตรเจนสำหรับการสังเคราะห์กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นบางชนิด หากสัตว์ได้รับใน


                     ปริมาณมากและไม่ถูกใช้ประโยชน์ ร่างกายจะเปลี่ยนกรดนิวคลีอิคเหล่านี้ให้อยู่ในรูปกรดยูริค



                     การย่อยและการดูดซึมโปรตีนในสัตว์กระเพาะเดี่ยว


                     การย่อยโปรตีนในสัตว์กระเพาะเดี่ยวเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กของสัตว์ โดยเอ็น-

                     ไซม์กลุ่มที่ย่อยโปรตีนหลายชนิด จนได้กรดอะมิโนอิสระและเปปไทด์สายสั้น ซึ่งสามารถแบ่ง

                     เอ็นไซม์ที่ใช้ย่อยโปรตีนเป็น 2 กลุ่มคือ


                     1. เอ็นโดเปปติเดส (endopeptidases) เอ็นไซม์กลุ่มนี้จะทำการย่อยพันธะเปปไทด์ภายใน


                     สายโปรตีนและที่ตำแหน่งเฉพาะเจาะจงเท่านั้นได้แก่ เปปซิน (pepsin) ทริฟซิน (trypsin) ไค

                     โมทริฟซิน (chymotrypsin) อีลาสเตส (elastase) และเรนนิน  (rennin) โดยทริฟซินจะ

                     ย่อยตรงตำแหน่งกรดอะมิโนไลซีนและอาร์จินีน ส่วนเปปซินจะย่อยตรงตำแหน่งกรดอะมิโนฟี

                     นิลอะลานีนและไทโรซีน เป็นต้น ร่างกายของสัตว์จะหลั่งเอ็นไซม์ในกลุ่มนี้ในรูปที่ไม่สามารถ

                     ทำงานได้ (inactive form) จำเป็นต้องมีสารกระตุ้นจึงจะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปที่ทำงานได้


                     (active form) เช่นเปปซิโนเจนที่หลั่งในกระเพาะอาหารจะต้องถูกกระตุ้นด้วยกรดเกลือ

                     (HCl) จึงจะเปลี่ยนเป็นเปปซิน เป็นต้น (รูปที่ 6-12) ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เอ็นไซม์เหล่านี้

                     ย่อยเนื้อเยื่อของระบบทางเดินอาหารของสัตว์เอง





                     สารที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ                                                       80
   78   79   80   81   82   83   84   85   86   87   88