Page 39 -
P. 39
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.1 สารยับยั้งแบบแข่งขัน สารยับยั้งชนิดนี้จะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับสับสเตรทที่
ทำปฏิกิริยากับเอ็นไซม์และสามารถจับกับบริเวณ active site ของเอ็นไซม์ได้เช่นเดียวกัน แต่
ความแตกต่างคือภายหลังจากการจับกับเอ็นไซม์แล้วปฏิกิริยาจะหยุดลงไม่ได้ผลิตผล ด้วยเหตุ
นี้สารยับยั้งจะแข่งขันกับสับสเตรทในการแย่งจับกับเอ็นไซม์ ถ้ามีสับสเตรทมากเกินพอสาร
ยับยั้งจะไม่มีผลต่อปฏิกิริยา
1.2 สารยับยั้งแบบไม่แข่งขัน สารยับยั้งชนิดนี้จะมีโครงสร้างแตกต่างจากสับสเตรท
และไม่แข่งขันในการจับกับเอ็นไซม์ สามารถจับกับเอ็นไซม์ที่บริเวณเดียวกันหรือคนละบริเวณ
กับที่สับสเตรทจับก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถจับกับสารประกอบของเอ็นไซม์กับสับสเตรทได้
เช่นกัน ซึ่งทั้งสองกรณีมีผลทำให้ปฏิกิริยาหยุดลงหรือทำให้ปฏิกิริยาช้าลงมาก
1.3 สารยับยั้งแบบไม่สามารถแข่งขัน สารยับยั้งชนิดนี้ไม่สามารถจับกับเอ็นไซม์
อิสระได้ แต่จะจับกับสารประกอบของเอ็นไซม์และสับสเตรท เนื่องจากภายหลังจากที่เอ็นไซม์
จับกับสับสเตรทแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระหว่างปฏิกิริยา ทำให้เกิดบริเวณที่สารยับยั้ง
สามารถมาเกาะได้ส่งผลให้ปฏิกิริยาหยุดลง
2. สารยับยั้งแบบย้อนกลับไม่ได้ เกิดจากสารยับยั้งจับกับเอ็นไซม์ที่บริเวณ active
site ด้วยพันธะโควาเลนท์ที่มีความเข็งแรงมากจึงทำให้เอ็นไซม์ไม่สามารถทำปฏิกิริยาต่อได้
นอกจากนี้เอ็นไซม์ยังไม่สามารถคืนสู่สภาพเดิมได้อีก สารยับยั้งประเภทนี้จึงมีผลเสียต่อร่าง-
กายได้แก่ กลุ่มสารอินทรีย์ฟอสเฟต (organophosphates) เช่น diisopropyl phosphor
fluoridate (DPF) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแก๊สประสาท สามารถยับยั้งการทำงานของ
เอ็นไซม์ในระบบประสาทคืออะซิติลโคลีนเอสเทอเรส (acetylcholinesterase) ซึ่งหากได้รับ
มากเกินไปอาจถึงตายได้
ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของเอ็นไซม์
1. ความเข้มข้นของสับสเตรท (substrate concentration)
ในสภาวะที่มีเอ็นไซม์มากเกินพอ การเพิ่มความเข้มข้นของสับสเตรทจะมีผลโดยตรงต่ออัตรา
เร่งของปฏิกิริยา หากสับสเตรทมีความเข้มข้นมากขึ้นจะมีโอกาสทำปฏิกิริยากับ active site
เอ็นไซม์ 36