Page 48 -
P. 48

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว






          เกษตรยังมีอยู่มากนั้น  วิธีปลูกส่วนใหญ่เป็นแบบปักด�า  โดยการตกกล้าข้าวตั้งแต่เริ่มมีฝนตกลงมา
          หลังจากนั้นก็ขึ้นกับปริมาณน�้าฝน  เมื่อมีน�้าขังในนาแล้วจึงไถ  คราด  และท�าเทือกดินนา  แล้วจึงถอน

          ต้นกล้ามาปักด�า โดยไม่สามารถก�าหนดอายุกล้าข้าวได้ ดังนั้นในปีที่ฝนตกผิดปรกติ โดยเฉพาะฝนทิ้งช่วง
          ต้นฤดู  จะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวโดยตรง  ส่วนฝนทิ้งช่วงกลางถึงปลายฤดูปลูก

          มีผลกระทบต่อข้าวน้อยกว่า  หากไม่ทิ้งช่วงนานเกินไป  เพราะต้นข้าวสามารถทนแล้งได้ระดับหนึ่งและมี
          ช่วงเวลาการเจริญเติบโตที่มากพอ เพราะวันออกดอกที่ถูกก�าหนดโดยความไวต่อช่วงแสงของพันธุ์ข้าว

                  ในปัจจุบัน  แรงงานภาคเกษตรได้โยกย้ายสู่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ  แรงงานในการ
          ท�านาในพื้นที่นาน�้าฝนจึงมีจ�ากัดและเป็นแรงงานสูงวัยด้วย  วิธีการท�านาจึงปรับเปลี่ยนไปเป็นการไถพรวน
          ดินแห้งด้วยรถแทรกเตอร์ ตามด้วยการปลูกแบบหว่านข้าวแห้ง แล้วคราดกลบเมล็ดในช่วงต้นฤดูฝน (เดือน

          พฤษภาคม-มิถุนายน) หลังจากนั้นเมื่อฝนตกลงมา (ซึ่งอาจใช้เวลามากน้อยต่างกัน) เมล็ดข้าวจะงอกขึ้นมา
          พร้อมกับเมล็ดวัชพืชชนิดที่งอกได้ในสภาพไร่ (upland/dry land weeds) และเจริญเติบโตไปได้ระยะหนึ่ง

          เมื่อปริมาณน�้าฝนมากพอจะมีน�้าขังในนาท�าให้ต้นวัชพืชตาย  ขณะที่ต้นข้าวยังคงอยู่ในสภาพน�้าขังและ
          เจริญเติบโตต่อไปได้
                  การใส่ปุ๋ยหรือให้ธาตุอาหารพืชจึงต้องค�านึงถึงประเด็นนี้ให้มาก  เพราะหากใส่ก่อนวัชพืชตาย

          หรือไม่มีการก�าจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ย  เท่ากับเป็นการส่งเสริมการแข่งขัน  (competitiveness)  ของวัชพืช
          ซึ่งมีความสามารถดูดใช้ปุ๋ยได้ดีกว่าข้าว  อีกประการหนึ่ง  การใส่ปุ๋ยข้าวในนิเวศย่อยนาน�้าฝนจะต้อง

          พิจารณาเรื่องช่วงเวลาส�าหรับการเจริญเติบโตของข้าว  ซึ่งทราบและก�าหนดจ�านวนวันได้หลังจากข้าว
          งอกแล้ว  เมื่อน�ามาประกอบกับข้อมูลความอุดมสมบูรณ์ของดินนา  ต้นข้าวอาจจะใช้ธาตุอาหารพืชที่มี

          อยู่ในดินได้อย่างเพียงพอ  ในเวลาที่มีเพียงพอส�าหรับการเจริญเติบโตด้วย  หากใส่ปุ๋ยเพิ่มเข้าไปอีกโดย
          คิดว่าจะได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นไปอีก  อาจจะท�าให้ต้นข้าวเสียสมดุลธาตุอาหาร  และมีความอ่อนแอต่อ

          สภาพแวดล้อมและโรคแมลงศัตรู  ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าวได้ในที่สุด
                  อย่างไรก็ตาม  วิธีการปลูกข้าวในนิเวศย่อยนี้  ก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพการตกของฝน
          ช่วงต้นฤดูปลูก  หากปีใดฝนมาเร็วดินนาแฉะหรือมีน�้าขัง  ก็จะต้องเปลี่ยนไปปลูกแบบหว่านน�้าตมหรือ

          แบบปักด�า ทั้งด้วยแรงงานคนและด้วยเครื่องปักด�าข้าว ซึ่งต้นข้าวจะมีรูปแบบการเจริญเติบโตและปัญหา
          วัชพืชในนาจะเป็นอีกแบบหนึ่ง  หากมีฝนทิ้งช่วงกลางฤดูปลูก  ข้าวที่ปลูกโดยวิธีนี้จะได้รับผลกระทบจาก

          ความแห้งแล้งมากกว่าข้าวที่ปลูกแบบหว่านข้าวแห้ง  เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระทบแล้งกลางฤดูปลูก
          จึงต้องมีแหล่งน�้าส�ารองในนา  เพื่อเลี้ยงต้นข้าวในระยะวิกฤติไว้ด้วย  เพราะปัจจัยด้านน�้ามีอิทธิพลต่อ

          ผลผลิตข้าวในนิเวศย่อยนี้มากที่สุด
               3.2 นิเวศย่อยข้าวนาสวนนาชลประทาน (irrigated lowland rice)

                  เป็นนิเวศที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการปลูกข้าวมากที่สุด
          ทั้งในด้านสภาพพื้นที่และระบบน�้า  ที่สามารถจัดการให้เข้าออกได้เท่าที่ต้องการ  นาข้าวในนิเวศนี้มีความ



                    ั
          44    ประวติการปลูกข้าว และข้าวกับสภาพแวดล้อม              ดิน ธาตุอาหารและปุ๋ยข้าว
   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53