Page 36 -
P. 36

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว





               สนใจ Rasul and Thapa (2004)  ศึกษาพื้นที่เกษตรกรรมในบังคลาเทศ และเปรียบเทียบระบบการเกษตร

               ดั้งเดิมซึ่งมักประสบปัญหาความเสื่อมโทรมของดินและน้ําและผลผลิตที่ตกต่ํา กับรูปแบบเกษตรที่ดีต่อระบบ
               นิเวศ (ecological agriculture)ที่เน้นการจัดการฟาร์มที่ดีและลดการพึ่งพิงปัจจัยการผลิตจากภายนอก ผู้วิจัย

               ใช้ F test/ Chi-square test ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าตัวชี้วัดระหว่างการเกษตรทั้งสองระบบ

               ผลการวิจัยพบว่า การพยายามส่งเสริมรูปแบบการเกษตรที่ดีต่อระบบนิเวศ ตลอดช่วง 12  ปี สร้างความ
               แตกต่างเพียงเล็กน้อยในด้านลักษณะการใช้ที่ดิน ผลผลิตต่อไร่ ความสม่ําเสมอของผลผลิต ความเสี่ยงและ

               ความมั่นคงทางอาหาร และไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญในด้านผลตอบแทนทางการเงินและทาง
               เศรษฐศาสตร์ อย่างไรก็ดี ค่าตัวชี้วัดที่ต่างกันมากระหว่างระบบการเกษตรทั้งสองแบบคือ ระดับการใช้ปุ๋ยเคมี

               ยาฆ่าแมลง ซึ่งมีการใช้มากกว่าอย่างชัดเจนในระบบการเกษตรดั้งเดิม แต่ค่าผลผลิตต่อไร่ระหว่างการเกษตรทั้ง

               สองระบบไม่ต่างกันมากเนื่องมาจากการเพิ่มปริมาณสารเคมีมากขึ้นเรื่อยๆ ของการเกษตรดั้งเดิมเพื่อแก้ปัญหา
               การเสื่อมสภาพของดินที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนเหตุผลที่ทําให้ผลตอบแทนทางการเงินและทางเศรษฐศาสตร์

               ของทั้งสองระบบไม่ต่างกันมากนัก คือ แม้ผลผลิตจะมาจากการปลูกในระบบที่ต่างกันแต่กลับได้ราคาตลาด
               เท่ากัน เนื่องจากสังคมยังขาดความตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่เกษตรดั้งเดิมมีต่อสิ่งแวดล้อมและยังไม่ยินดี

               จ่ายเงินมากกว่าให้กับสินค้าที่ผลิตจากที่รูปแบบการเกษตรดีต่อระบบนิเวศ

                       สําหรับงานที่เน้นประเมินความยั่งยืนของพื้นที่ Bosshaq et al. (2012)  ประเมินความยั่งยืนของ
               เกษตรกรรมในพื้นที่ Ravansar  ของอิหร่าน โดยใช้ stepwise  regression  เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง

               ลักษณะครัวเรือนกับค่าตัวชี้วัดความยั่งยืน พบว่า ตัวแปรระดับการศึกษา รายได้ครัวเรือน ที่ดินการเกษตรและ

               ถือครอง เป็นปัจจัยตัวแปรที่ส่งผลต่อความยั่งยืนอย่างมีนัยสําคัญ งานวิจัยนี้ให้ผลการศึกษาใกล้เคียงกับ
               Praneetvatakul et al. (2001) ซึ่งประเมินความยั่งยืนในพื้นที่ 3 หมู่บ้านของลุ่มน้ําย่อยวัดจันทน์ ในลุ่มน้ําแม่

               แจ่ม จ.เชียงใหม่ ทั้งในระดับครัวเรือน หมู่บ้านและลุ่มน้ําย่อย ผ่านกรอบการวิเคราะห์ตัวชี้วัดความยั่งยืนที่
                                24
               พัฒนาขึ้นโดย FAO  ผู้วิจัยนําค่าตัวชี้วัดที่ได้จากพื้นที่มาเปรียบเทียบกับค่ากลางซึ่งถูกระบุจากวิธีการทาง
               วิทยาศาสตร์ ซึ่งในงานวิจัยนี้ใช้ค่า target value ที่กําหนดจาก กรมพัฒนาที่ดินเป็นค่ากลางของข้อมูลเกษตร

               ในพื้นที่สูงทางเหนือของไทย ผู้วิจัยพบว่าในขณะที่ความมั่นคงทางอาหารมีผลอย่างมีนัยสําคัญต่อความยั่งยืน
               ของพื้นที่ลุ่มน้ํานี้ แต่ขนาดของที่ดิน สิทธิการถือครอง และปัญหาการขาดแคลนน้ํา เป็นเงื่อนไขที่จะนําไปสู่

               ความไม่ยั่งยืนมากที่สุด เช่นเดียวกันกับ Potchanasin  (2008)  ซึ่งประเมินสถานการณ์ความยั่งยืนในพื้นที่บ่อ
               ไคร้ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ที่ชาวบ้านทําการเกษตรแบบยังชีพ (subsistence  agriculture)  โดยใช้

               Multi-Agent System (MAS) model ซึ่งเป็นการรวมหลักการของความยั่งยืน ระบบการเกษตร และ Agent-

               Based     modeling เข้าด้วยกัน แบบจําลองนี้สามารถสะท้อนปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่น (agent) ด้วยกัน
               ระหว่างผู้เล่นกับสิ่งแวดล้อมและความเป็นพลวัต ทําให้ผู้วิจัยสามารถประมาณการเพื่อแสดงความเปลี่ยนแปลง

               สถานการณ์ความยั่งยืนของพื้นที่นี้ในอีก 15  ปีต่อมาได้ นอกจากนี้ยังพบว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ไม่ยั่งยืนและ



               24 ระบบการให้คะแนน (score) และการจัดแบ่งครัวเรือนออกเป็นกลุ่มไม่ยั่งยืน ยั่งยืนอย่างมีเงื่อนไขและยั่งยืนอย่างไม่มีเงื่อนไข

               ใช้ตามรูปแบบการประเมินของ FAO

                                                           2-5
   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41