Page 55 -
P. 55

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี





                          คําพิพากษาฎีกาที่5371/2534 แม้จําเลยที่ 3 จะเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกับทนายความซึ่ง
                   เป็นหัวหน้า สนง. ที่แก้ต่างคดีให้แก่ จําเลยที่  1 และจําเลยที่ 2 ในคดีเดิมก็ตาม แต่จําเลยที่  3 มีอาชีพ

                   ค้าขายอยู่คนละอําเภอกับ สนง. ทนายความดังกล่าว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจําเลยที่  3 ได้เกี่ยวข้อง
                   กับ สนง. ดังกล่าว ทั้งการซื้อขายที่ดินก็ปรากฏว่าจําเลยที่  3 ซื้อจากจําเลยที่ 1 จํานวน 5 แปลง ซึ่งเป็น
                   ของภริยาจําเลยที่ 1 จํานวน 4 แปลง เป็นของ จําเลยที่ 1 1 แปลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า จําเลยที่
                   3 ซื้อที่ดินจากจําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 โดยมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้

                   ของจําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 ต้องเสียเปรียบตามมาตรา 237 วรรคแรก

                          (5) หากมีผู้ได้ลาภงอก ผู้ได้ลาภงอกนั้นต้องรู้ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้ เสียเปรียบ เว้นแต่เป็น
                   การให้โดยเสน่หา การรู้ของผู้ได้ลาภงอกไม่ใช่สาระส าคัญ ลูกหนี้รู้เพียงคนเดียวก็เพียงพอ

                          ผู้ได้ลาภงอกที่ทํานิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน (รวมถึงกรณีเสียค่าตอบแทนให้บุคคล
                    อื่นด้วย) จะได้รับความคุ้มครอง เพราะเกิดความเสียหาย



                          (6) เจ้าหนี้ต้องฟ้องศาล  โดยฟูองทั้งตัวลูกหนี้และผู้ได้ลาภงอกเป็นจําเลยร่วมกันเพราะคํา
                   พิพากษาไม่อาจมีผลถึงบุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความได้ (ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา  142 และ
                   145)

                          5.2.2 ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉล

                       (1) ผลต่อลูกหนี้ : ลูกหนี้ไม่ต้องผูกพันตามนิติกรรมที่ถูกเพิกถอน และทรัพย์สินของลูกหนี้ต้องชําระ
                   แก่เจ้าหนี้

                       (2) ผลระหว่างเจ้าหนี้ด้วยกัน : เจ้าหนี้ทุกคนได้ประโยชน์จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (มาตรา 239)
                       (3) ผลกับผู้ได้ลาภงอก : บังคับตามนิติกรรมนั้นไม่ได้ หากผู้ได้ลาภงอกชําระราคาแก่ลูกหนี้ ก็เรียก

                   คืนฐานลาภมิควรได้

                       (4) ผลต่อบุคคลภายนอก  :  บุคคลภายนอกที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟูองคดีย่อมได้รับความ
                   คุ้มครอง แต่ถ้าได้มาโดยเสน่หา ก็เพิกถอนได้(มาตรา 238)


                          5.2.3 อายุความของการเพิกถอนการฉ้อฉล

                          มาตรา 240  “การเรียกร้องการเพิกถอนนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่
                   เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือพ้นสิบปีนับแต่ได้ท านิติกรรมนั้น”
                          การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันเป็นโมฆะตามมาตรา  155 วรรคหนึ่ง มิใช่การฉ้อฉลตามมาตรา

                   237 จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 240 (คําพิพากษาฎีกาที่ 2041/2547)
                          คําพิพากษาฎีกาที่  3591/2538  โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทกรม มีอธิบดีเป็นผู้แทน และมี

                   อํานาจฟูองคดีแทน แม้นาย ส. และนาย พ. เจ้าพนักงานของโจทก์ทราบเรื่องก่อนฟูองเกิน 1 ปี แต่
                   บุคคลทั้งสองก็ไม่ใช่ผู้แทนโจทก์ผู้มีอํานาจฟูองคดี จึงยังไม่เริ่มนับอายุความ

                          คําพิพากษาฎีกาที่  289/2537  เมื่อโจทก์ได้ว่าจ้างสํานักงานกฎหมาย ท. สืบหาทรัพย์สินของ

                   ลูกหนี้ของโจทก์ สํานักงาน ท. มอบหมาย อ. ไปสืบหา เมื่อ อ. สืบทราบว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินเป็นบ้านและ




                                                             55
   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60