Page 45 -
P. 45
โครงการรวบรวมและจัดทําวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปีที่ 41 ฉบับที่ 2 39
เกิดขึ้น รวมถึงนิเวศวิทยาเชิงลึก (Deep Ecology) ซึ่งริเริ่มโดย อาร์น แนส (Arne Naess) ทั้งนี้เพื่อ
กระตุ้นเตือนจิตวิญญาณของมนุษย์ให้มีความรู้สึกมีส่วนร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งของสสาร มองให้เป็นเชิง
ระบบ สามารถเชื่อมโยงระหว่างกาย จิต และจิตวิญญาณ แนวคิดนี้จะเป็นตัวเร่งอันทรงพลังที่จะผลักดัน
ให้เกิดการยอมรับแนวคิดแบบองค์รวมในทุกๆ ด้านของชีวิต เครือข่ายความสัมพันธ์ในชุมชนนิเวศที่ส่ง
ผลกระทบต่อทุกฝ่าย สิ่งที่เกิดขึ้นกับสายพันธุ์หนึ่งจะสั่นสะเทือนข่ายใยแห่งชีวิตทั้งหมด และจะส่งผล
กระทบกับทุกๆ สิ่ง
ในทางพระพุทธศาสนา ประจักษ์พยานหลักฐานเชิงเอกสาร ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าวิถีชีวิต
ของพระพุทธเจ้านั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับป่าไม้ ธรรมชาติตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ไม่ว่าการประสูติ
ตรัสรู้ ปฐมเทศนา การปฏิบัติธรรมและการปรินิพพาน ล้วนเกี่ยวข้องกับป่าทั้งสิ้น นอกจากนี้จาก
หลักฐานทางคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งพระวินัยและพระสูตรหรือหลักธรรม ได้กล่าวถึงเรื่องการตระหนัก
ถึงความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมและการดำรงอยู่ของมนุษย์อยู่เนืองๆ เช่น ธรรมชาติโดยทั่วไปก็ตกอยู่ใน
หลักธรรมนิยาม ที่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมทั้งสิ่งมีชีวิต หมายถึง มนุษย์และสัตว์ และสิ่งที่
ไม่มีชีวิต ได้แก่ ต้นไม้ พืช พระองค์เพียงทรงชี้ให้เห็นว่าธรรมชาตินั้น มนุษย์ควรจะทำตัวอย่างไร ควรจะ
อยู่ร่วมกันกับธรรมชาตินั้นอย่างไร ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายของธรรมชาติชนิดกายภาพนั้นก็เดินเข้าสู่หลัก
ไตรลักษณ์ ดังนั้น สถานะของมนุษย์จึงไม่ได้แยกเป็นอิสระต่างหากจากระบบอื่นๆ ตั้งแต่สถานะของ
มนุษย์ในระบบที่ใหญ่ที่สุด คือ จักรวาล และในสถานะของมนุษย์ที่เป็นกัลยาณมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงมี
แง่คิดที่สรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่อย่างสัมพันธ์กัน ไม่มีสิ่งใดเป็นอิสระแล้วดำรงอยู่ได้ หรือใคร สิ่งใด
มีอำนาจเหนืออีกคนหนึ่งหรือสิ่งหนึ่ง แนวคิดว่าด้วยการดำรงอยู่อย่างองค์รวมนี้ สามารถพิจารณา
เทียบเคียงกับหลักปฏิจจสมุปบาทในพระพุทธศาสนา ที่เชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่สำคัญทั้งชีวิตมนุษย์และ
สิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นหลักที่ยืนยันว่าสรรพสิ่งล้วนอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้อย่างเอกเทศ
เป็นอิสระ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่า ท่าทีของพระพุทธศาสนาดังกล่าวเป็นการสะท้อน
ถึง “ความกตัญญู” ความรู้สึกเห็นคุณของกันและกัน และกล่าวถึงพื้นฐานของจิตใจที่มีเมตตาต่อพืชและ
สัตว์ และเป็นการมองแบบความเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน เป็นญาติมิตรกัน โดยมองว่าทั้งมนุษย์และ
สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในกฎอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง เมื่อเป็นเพื่อนร่วมโลกกันแล้วก็ไม่ควรเบียดเบียนกัน ควร
รู้สึกถึงการเป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์กันดีกว่าคิดจะเบียดเบียนรังแกกันและกัน (พระพรหมคุณาภรณ์
(ป.อ.ปยุตฺโต), 2554: 24-25)
นอกจากนี้ ในพระวินัยมีข้อบัญญัติที่ส่งเสริมคุ้มครองทรัพยากรอย่างครอบคลุม อาทิ
คุ้มครองทรัพยากรสัตว์ พืช เช่น ทรงสอนเรื่องการเว้นจากการฆ่าสัตว์ การไม่เบียดเบียนพืช พระวินัย
บัญญัติที่คุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ ต้นไม้ ทรงบัญญัติไม่ให้พระภิกษุตัดต้นไม้เพื่อสร้างที่อยู่อาศัย (วิ.มหา.
4
5
(ไทย) 2/354/348) แต่ให้รู้จักใช้ประโยชน์จากป่า ไม่ใช่ฉวยประโยชน์จากป่า (วิ.ม. (ไทย) 5/11/15)
พระวินัยบัญญัติที่คุ้มครองทรัพยากรดิน ทรงห้ามภิกษุ ขุดคุ้ยหรือโกยดิน เป็นต้น พระวินัยบัญญัติที่
4 หมายถึง พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่มที่ 2 ข้อที่ 354 หน้าที่ 348
5 หมายถึง พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่มที่ 5 ข้อที่ 11 หน้าที่ 15