Page 42 -
P. 42
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2515 กรมการข้าวและกรมกสิกรรมได้รวมกันเป็นกรมวิชาการเกษตร แล้วแยกหน่วยงาน
ส่งเสริมของกรมการข้าวและกรมกสิกรรมเดิม ไปรวมกันเป็นกรมส่งเสริมการเกษตร ดังนั้นในระหว่าง
พ.ศ. 2515-2548 สถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตรจึงรับผิดชอบงานวิจัยและพัฒนาข้าว
พ.ศ. 2549 แยกงานวิจัยและพัฒนาข้าวจากกรมวิชาการเกษตร มาตั้งเป็นกรมการข้าวจนถึง
ปัจจุบัน
6. ประเภทของที่นาในอดีต
ในอดีตทางราชการของไทยได้จ�าแนกพื้นที่นาเป็น 2 แบบ ตามระบบการเก็บค่านา คือ
นาฟางลอย กับ นาคู่โค ส�าหรับค่านาในสมัยรัชกาลที่ 2 เรียกว่าหางข้าว หรือภาษีหางข้าว ซึ่งหมายถึง
ภาษีหรืออากรค่านาที่รัฐบาลเก็บเป็นข้าวเปลือก ในสมัยรัชกาลที่ 2 คิดอากรค่านาในอัตราไร่ละสองสัด
ครึ่ง (1 สัดเท่ากับ 20 ลิตร) แต่มีวิธีประเมินต่างกันระหว่างนาฟางลอยกับนาคู่โค ในปี พ.ศ. 2369 คือ
ตอนต้นรัชกาลที่ 3 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีอากรข้าวเปลือก “หางข้าว” มาเป็นเงิน “ค่านา”
โดยให้เรียกเก็บเป็นค่านาไร่ละสลึงเฟื้อง เสมอกันไปทั้งนาคู่โคและนาน�้าฝนฟางลอย (นิรนาม, 2557 ข.
และ ค.)
1) นาฟางลอย คือ นาป่าที่เจ้าของเสียค่านาตามเนื้อที่ซึ่งได้ปลูกข้าว โดยฟางลอย หมายถึง
“ฟางที่ปรากฏอยู่” ผิดกับนาคู่โคซึ่งต้องเสียค่านาเต็มตามโฉนด อาจเรียกนาฟางลอยตามภูมิประเทศของ
ที่นา เช่น นาน�้าฝน นาฟาง นาทุ่ง นาป่า นาไร่ นาข้าวเรือ และนาปรัง (ปัจจุบันเรียกข้าวขึ้นน�้าว่า
ข้าวฟางลอย)
สภาพของนาฟางลอย หรือ นาดอน เป็นนาที่ใช้ปลูกข้าวโดยอาศัยน�้าฝนเพียงอย่างเดียว เพราะ
อยู่ในที่ดอน ดังนั้นน�้าท่า (น�้าในแม่น�้าล�าคลอง) จึงขึ้นไม่ถึง วิธีเก็บภาษีหางข้าวส�าหรับนาประเภทนี้
เก็บจากนาที่สามารถปลูกข้าวได้จริง ถ้าปีใดไม่ได้ท�าหรือท�าไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียอากรค่านา และถือเอา
ขนาดพื้นที่ซึ่งมีตอฟางที่เก็บเกี่ยวแล้ว เป็นเกณฑ์ในการเก็บค่านา
ก่อนจะถึงฤดูกาลท�านา ทางราชการจัดพนักงานหรือข้าหลวงเดินนา มาส�ารวจแล้วจะออกหนังสือ
ให้เจ้าของที่นาถือไว้เป็นหลักฐาน ส�าหรับการเรียกเก็บหางข้าวหรืออากรค่านาต่อไป หนังสือสัญญานี้
เรียกว่า “ใบจอง”
2) นาคู่โค คือ นาที่ได้ท�ามาแล้วนาน เป็นนาดี ท�าแล้วไม่ค่อยเสียหาย นาประเภทนี้ต้องเสีย
ค่านาตามหน้าโฉนดทุกๆ ปี ผิดกับนาฟางลอย ซึ่งต้องเสียค่านาแต่เฉพาะในปีที่ปลูกข้าว ที่เรียกว่านาคู่โค
เพราะวิธีเก็บหางข้าวนาชนิดนี้นับจ�านวนโค (กระบือ) ที่ใช้ท�านาในที่นั้นๆ ด้วย ถือว่าโคคู่หนึ่งคงจะ
ท�านาในที่เช่นนั้นได้ผลประมาณปีละเท่าใด จึงถือเอาเกณฑ์จ�านวนโคขึ้นตั้งเป็นอัตราหางข้าวที่จะต้องเสีย
เพราะฉะนั้นนาคู่โคซึ่งเป็นนาดี ถึงจะท�าหรือไม่ท�าก็ต้องเสียหางข้าว
ั
38 ประวติการปลูกข้าว และข้าวกับสภาพแวดล้อม ดิน ธาตุอาหารและปุ๋ยข้าว