Page 73 -
P. 73

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว




                  สหภาพพม่ามีมูลค่าต่อหน่วยของปลานิลต�่าที่สุด คือ 0.80 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม
            แม้จะยังมีผลผลิตไม่มากนักแต่สหภาพพม่ามีโอกาสขยายการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้าชนิดนี้ต่อไป
            ปัญหาอยู่ที่การลงทุนและการหาตลาด เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์น�้าจืดส่วนใหญ่ในสหภาพพม่ายัง
            ท�าโดยเกษตรกรรายย่อยซึ่งให้ความส�าคัญแก่การเพาะเลี้ยงปลาพื้นเมืองที่หาลูกพันธุ์ได้ง่าย

            นอกจากนี้ผู้บริโภคในประเทศก็ยังนิยมบริโภคสัตว์น�้าที่เลี้ยงกันมานานและเป็นปลาพื้นบ้าน เช่น
            ปลายี่สกเทศ เกษตรกรในสหภาพพม่ามีปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการขยายการส่งออกปลานิลคล้าย
            กับที่พบในเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลานิลในประเทศไทย คือ การเลี้ยงปลานิลเพื่อขายส�าหรับ
            การบริโภคในประเทศที่ไม่ต้องการปลาขนาดใหญ่จะใช้เวลาเลี้ยงสั้นกว่าท�าให้เกษตรกรสามารถ
            มีรายได้ดีกว่าการเลี้ยงปลานิลให้มีขนาดใหญ่ที่เหมาะแก่การแล่เนื้อแช่แข็ง เพื่อส่งออกที่ต้องเลี้ยง
            นานกว่าผลตอบแทนที่เกษตรกรได้อาจไม่ดีเท่าการเลี้ยงเพื่อขายสดทั้งตัวส�าหรับบริโภคในประเทศ
            เป็นอุปสรรคในการพัฒนาการส่งออก ข้อนี้เป็นปัญหาในทุกประเทศที่ต้องการพัฒนาการส่งออก
            ปลานิล
                  มูลค่าต่อหน่วยของปลานิลที่ได้จากการเพาะเลี้ยงในประเทศไทยเป็น 1.41 เหรียญสหรัฐ

            ต่อกิโลกรัม สูงกว่ามูลค่าต่อหน่วยของสหภาพพม่าค่อนข้างมาก แต่ยังเป็นรองมูลค่าต่อหน่วยของ
            เวียดนามซึ่งเป็น 1.50 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัมเท่ากันกับมูลค่าต่อหน่วยใน สปป.ลาว และกัมพูชา
            ซึ่งมูลค่าต่อหน่วยระดับนี้อาจเป็นมูลค่าจากการประเมินในการรวบรวมข้อมูล
                  มูลค่าต่อหน่วยของปลานิลในเวียดนามสูงกว่าของสหภาพพม่าและไทย แต่ผลผลิตยัง
            เป็นรอง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และไทย คาดว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์น�้าชนิดอื่นโดยเฉพาะ
            ปลาสวายเวียดนามยังให้ความสนใจในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลานิลไม่มากนักแต่มีโอกาส
            ที่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาสวายบางรายในเวียดนามจะสนใจเลี้ยงปลานิลมากขึ้น หากเวียดนาม
            หันมาพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลานิล เวียดนามมีโอกาสที่จะขยายปริมาณการผลิต และการส่งออก
            ได้รวดเร็วโดยอาศัยแนวทางที่ประสบความส�าเร็จจากการเพาะเลี้ยงปลาสวายมาแล้ว
                  ประเทศที่มีมูลค่าต่อหน่วยของปลานิลสูงขึ้นถัดไปคือ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย

            เป็น 1.69, 1.72 และ 1.77 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัมตามล�าดับ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็น
            ประเทศที่มีผลผลิตปลานิลมากที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนแต่มีต้นทุนการเพาะเลี้ยงค่อน
            ข้างสูง ซึ่งส�าหรับฟิลิปปินส์อาจเป็นเพราะการพัฒนาการเพาะเลี้ยง ที่มุ่งขยายการส่งออก ผลผลิต
            ต้องมีคุณภาพได้มาตรฐานเพื่อการส่งออก ท�าให้มูลค่าต่อหน่วยของปลานิลจากการเพาะเลี้ยงสูง
            ขึ้น อินโดนีเซียยังส่งออกปลานิลไม่มากแต่มีต้นทุนการเพาะเลี้ยงยังค่อนข้างสูง คาดว่าการ
            พัฒนาการเพาะเลี้ยงปลานิลในสองประเทศนี้อาจใกล้เต็มศักยภาพคงขยายผลผลิตไม่ได้มาก
            ส่วนมาเลเซียมีมูลค่าต่อหน่วยของปลานิลสูงกว่าไทยแต่ที่มาเลเซียส่วนหนึ่งจะเป็นการเพาะเลี้ยง
            ปลานิลแดงหรือปลาทับทิม เนื่องจากผู้บริโภคในมาเลเซียไม่นิยมปลานิลที่มีสีค่อนข้างด�า อย่างไร
            ก็ตามผู้ประกอบการจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ให้ความเห็นว่าการส่งออกปลาทับทิมท�าได้ยาก
            เนื่องจากผิวปลาบอบช�้าง่ายท�าให้เมื่อแช่แข็งทั้งตัวมีลักษณะไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เป็นปลาที่
            เหมาะแก่การขยายการเพาะเลี้ยงในประเทศโดยการบริหารจัดการเลี้ยงปลาทับทิมจะต้องคาดคะเน
            ความต้องการของตลาดในประเทศและควบคุมปริมาณการผลิตไม่ให้มีอุปทานสูงเกินไป



            64    >> สถานภาพการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้าไทยในบริบทของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
   68   69   70   71   72   73   74   75   76   77   78