Page 15 -
P. 15
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
14
สามารถใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด รูปแบบรัฐบาลจึงเป็นรัฐบาลผสมที่มีผลประโยชน์ต่างตอบแทน
ร่วมกันลงตัวแบบไทย ๆ ที่เรียกว่า “ไม่มีศัตรูหรือมิตรแท้ทางการเมือง”
รัฐแบบทุนนิยม
ก่อนที่ลัทธิทุนนิยมจะเกิดขึ้นในตอนเหนือของประเทศอิตาลี สังคมยุโรปผ่านการดําเนินชีวิต
แบบคอมมิวนิสต์ที่ทุกคนแบ่งสรรกันใช้ทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน มาเป็นสังคมทาสที่มีนายทาสเป็น
ผู้ควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวด และมาเป็นสังคมแบบเจ้าขุนมูลนายหรือฟิวดัล (Feudal) โดยเจ้าผู้
ครองนครเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด แล้วจัดสรรให้กับข้าทาสบริวารทําการเพาะปลูกบนที่ดินตามที่
กําหนด ผลผลิตจะส่งให้แก่เจ้าของที่ดินหรือเจ้าผู้ครองนคร จนกระทั่งในคริสศตวรรษที่ 16 ข้าทาส
บริวารไม่ยอมอยู่ใต้อํานาจเจ้าของที่ดินอีกต่อไป พวกชาวนาต่างอพยพเข้าไปทํางานในเมือง เพื่อ
ประกอบอาชีพหัตถกรรมและอุตสาหกรรม มีการซื้อขายสินค้าด้วยเงินตราแทนการแลกเปลี่ยนสินค้า
เช่นในอดีต การค้าขายได้ทวีจํานวนและมูลค่ามากขึ้น ทําให้คนในยุโรปเริ่มคํานึงถึงผลกําไรและการ
สะสมทุนที่ถือว่าเป็นรากฐานสําคัญของลัทธิทุนนิยม ต่อมาได้ขยายตัวไปยังบริเวณอื่น ๆ ของทวีปด้วย
การใช้เงินทุนไปลงทุนในกิจการต่าง ๆ เพื่อให้มีการสะสมทุนเพิ่มมากขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทําให้เกิดลัทธิ
ทุนนิยมและมีวิถีการผลิตแบบทุนนิยมในที่สุด ในระยะต่อมาศูนย์กลางของทุนนิยมได้ย้ายไปอยู่ที่
ยุโรปตะวันตกโดยมีอังกฤษเป็นผู้นํา และอังกฤษได้เข้าครอบครองส่วนต่าง ๆ ของโลก มีการนําเอาวิถี
การผลิตแบบทุนนิยมไปไว้ในอาณานิคม ทําให้ลัทธิทุนนิยมขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว จนเลนิน (Lenin)
ชาวโซเวียต ได้กล่าวในตอนปลายคริสศตวรรษที่ 19 ว่าลัทธิทุนนิยมได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดและกลายเป็น
ลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งประกอบด้วยการผูกขาด 4 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง การผูกขาดการผลิต
โดยความสามารถในการผลิตสูงสุดอยู่ในยุโรปตะวันตก ประการที่สอง มีการยึดและฉกฉวยเอาวัตถุดิบ
จากดินแดนด้อยพัฒนาทั่วโลกด้วยการยึดครองเป็นอาณานิคม ประการที่สาม มีการผูกขาดทางด้าน
การเงิน โดยธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ และประการที่สี่ เกิดลัทธิล่าอาณานิคมขึ้นเพื่อขยาย
ตลาดให้แก่สินค้าและอุตสาหกรรม (ดํารงค์ ฐานดี, 2538)
ดํารงค์ ฐานดี (2538) ได้กล่าวถึงนักวิชาการที่สนใจศึกษารัฐในระบบทุนนิยม มี 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มพหุนิยม (Pluralism) นักวิชาการกลุ่มนี้ ได้แก่ จอห์น ล๊อค เขาเชื่อว่า รัฐในระบบ
ทุนนิยม หมายถึง สถาบันที่เป็นกลางซึ่งให้ความเป็นธรรมแก่สมาชิกของสังคมทุกกลุ่มทุกเหล่า
สถาบันที่เรียกว่ารัฐนี้จะธํารงอํานาจ 3 ประการ ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ อํานาจ
ดังกล่าวเป็นกลไกสําคัญที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือชี้นําให้สมาชิกปฏิบัติตาม นั่นคือ สิทธิและหน้าที่ของ
ความเป็นพลเมือง โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า สมาชิกของทุกสังคมมีสิทธิเสรีภาพและอํานาจทางการ
เมืองเท่าเทียมกัน ด้วยการเลือกผู้แทนจากพรรคการเมืองที่ตนชื่นชอบและมีอุดมการณ์ทางการเมือง