Page 14 -
P. 14
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
13
5) ระบบหลายพรรคที่ไม่เชื่อมโยงกัน มีพรรคการเมืองหลายพรรคที่มีวัฒนธรรมทาง
การเมืองแตกเป็นเสี่ยง ๆ ประชาชนมีหลายเผ่าพันธุ์ มีความแตกต่างในชีวิตอยู่มาก ซึ่งไม่เอื้อให้การ
ปกครองมีเสถียรภาพได้ มักเกิดขึ้นในประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่ถูกปกครองด้วยระบบเผด็จการทหาร
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ระบบพรรคการเมืองภายหลังที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย ในช่วงแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ไม่มีพรรคการเมือง การแข่งขันทางการเมืองเป็นไประหว่างกลุ่มบุคคลในคณะราษฎร์ จนในที่สุดกลุ่ม
ทหารมีอิทธิพลเหนือกลุ่มพลเรือน การปกครองส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการปกครองแบบเผด็จการ
เพราะมีการปฏิวัติหรือรัฐประหารบ่อยครั้ง โดยมีข้าราชการทหารเป็นแกนนําทั้งรัฐมนตรีและสมาชิก
รัฐสภา อาจเรียกว่า รัฐข้าราชการหรืออํามาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) กองทัพหรือทหาร
อาศัยทรัพยากรทางอาวุธยุทโธปกรณ์และการบังคับเป็นฐานอํานาจในการเข้าปกครองประเทศ
ลักษณะการจัดองค์กรมีลักษณะเป็นการบังคับบัญชาตามลําดับชั้นอย่างเคร่งครัด เป็นการออกคําสั่ง
จากระดับสูงสู่ระดับล่าง โดยการขู่บังคับว่าจะลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม จึงเป็นองค์กรที่ไม่เหมาะแก่
การกลั่นกรองผลประโยชน์ของกลุ่มชนสําคัญ ๆ ให้รวมพลังมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจได้ ในช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มทหารลดบทบาทลงตามสถานการณ์ พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นในช่วงนี้ จึง
เป็นระบบหลายพรรคที่มีลักษณะของการสนับสนุนตัวบุคคลมากกว่าที่จะสนับสนุนจากมวลชน ต่อมา
กลุ่มทหารนําโดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตั้งพรรคการเมืองและเข้ามาบริหารประเทศ แต่ได้ถูก
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทําการรัฐประหารและดําเนินการปกครองในแบบเผด็จการ ยกเลิกและห้าม
การเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง ครั้นถึงสมัยรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถนอม กิตติขจร ในเดือน
ตุลาคม พ.ศ.2514 ได้มีการเดินขบวนประท้วงของมวลชนนําโดยนิสิตนักศึกษา การตั้งพรรคการเมือง
หลังเหตุการณ์ในช่วงนี้จึงเป็นระบบหลายพรรคแบบสุดโด่งที่มีความแตกต่างในอุดมการณ์ซึ่งยากที่จะ
ติดต่อสัมพันธ์ประสานกันได้ จึงเป็นเหตุให้กลุ่มทหารยึดอํานาจอีกครั้งในเดือนตุลาคม พ.ศ.2519
ระบบพรรคการเมืองหลังจากเหตุการณ์นี้จนถึงก่อนการปฏิรูปการเมือง พ.ศ.2540 จึงเป็นระบบหลาย
พรรคที่มีแนวนโยบายกลาง ๆ และไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลจึงต้อง
เป็นรัฐบาลผสม (พฤทธิสาณ ชุมพล, 2540) จนกระทั่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548
ผลปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยของพันตํารวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้คะแนนเสียงมากที่สุด สามารถ
จัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว นับว่าเป็นครั้งแรกในระบบการเมืองไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครอง ซึ่งหากมีแนวโน้มในลักษณะเช่นนี้ ผู้เขียนคิดว่าอาจเป็นระบบพรรคการเมืองแบบพรรคหลัก
ครอบงําที่มีความเป็นอํานาจนิยมสูง โดยที่พรรคการเมืองอื่นไม่สามารถท้าทายอํานาจในการปกครอง
ได้ ซึ่งก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ท้ายที่สุดรัฐบาลก็ถูกรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน
พ.ศ.2549 ระบบหลายพรรคยังคงเป็นแบบหลายพรรคที่มีอุดมการณ์เป็นกลาง ๆ ไม่มีพรรคใด