Page 48 -
P. 48
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2
ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง กรอบแนวคิดและระเบียบวิธีวิจัย
เปลี่ยนผ่านความยากจนจากการประเมินความมีส่วนร่วม วิเคราะห์รูปแบบและปัจจัยที่มีอิทธิพล
ต่อพลวัตความยากจนจากข้อมูล panel data สองช่วงเวลา ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าว่าความเข้าใจ
จากวิธีการเชิงคุณภาพสามารถให้ข้อมูลเพิ่มจากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ โดยรายละเอียดจาก
การสัมภาษณ์ประวัติชีวิตเป็นการเติมเต็มที่มีคุณค่าต่อการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ซึ่งเป็นการบ่งชี้
ว่าการรวมของสองวิธีได้เพิ่มคุณค่าอย่างมีนัยยะต่อความเข้าใจของพลวัตความยากจนมากกว่า
การใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ขึ้นอยู่กับกรอบตัวอย่างที่แตกต่าง
กัน นอกจากนี้มีการศึกษาต่อมา เพื่อทำความเข้าใจในประเด็นของการรวมระเบียบวิธีการศึกษา
ทั้งสอง โดย Lawson Hulme และ Muwongse (2007) ได้ใช้วิธีการผสมผสานตามลำดับขั้นตอน
โดยใช้ผลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากการสำรวจ เพื่อที่จะรายงานและออกแบบการ
สัมภาษณ์ประวัติชีวิตซึ่งงานวิจัยนี้ได้ประยุกต์ใช้กรอบตัวอย่างเดียวกันกับการสำรวจครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของข้อมูล panel ที่ได้จากการสำรวจไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกับการสัมภาษณ์
ประวัติชีวิต การศึกษานี้เป็นกรณีในอุดมคติสำหรับลำดับของเวลาและอาจจะก่อให้ความยุ่งยาก
ในการอ้างอิงเวลาเมื่อทำการสัมภาษณ์ถึงข้อมูลย้อนหลัง ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อมูลขาดความน่าเชื่อถือ
ดังนั้นจึงมีการแนะนำว่าการรวบรวมข้อมูลของการสำรวจควรจะดำเนินการภายในช่วงเวลาเดียว
กับการสัมภาษณ์
Davis และ Baulch (2009) ได้ทำการศึกษาโดยรวมระเบียบวิธีการวิจัยซึ่งประกอบด้วย
ข้อมูลสำรวจรายจ่ายครัวเรือนและการสัมภาษณ์ประวัติชีวิตเพื่อที่จะประเมินพลวัตความยากจน
ทั้งสอง ผลการศึกษาพบว่าการสัมภาษณ์ประวัติชีวิตแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านของความยากจน
น้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่กำลังจะหลุดพ้นจากความยากจน ยิ่งไปกว่านั้นสองวิธีนี้ให้
ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกันในการเปลี่ยนผ่านของความยากจน กรณีที่แตกต่างกันของการไม่สอดคล้อง
กันระหว่างพลวัตความยากจนเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งจะนำไปสู่วิธีหลักสำหรับการทำให้
ความแตกต่างเหล่านี้สอดคล้องกัน
การทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่ามีความพยายามในการผสมผสาน
ทั้งสองวิธีวิจัยเพื่อศึกษาเกี่ยวกับพลวัตความยากจนเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการประยุกต์ของวิธีการทั้ง
สองเข้าด้วยกันยังคงมีไม่มากและยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็พบว่า ‘มีความเป็นไปได้ และเป็น
สิ่งที่พึงปรารถนา’ (Addison et al., 2009) ดังนั้นจึงควรพัฒนางานวิจัยในบริบทเหล่านี้เพิ่มเติม
เพื่อเติมเต็มช่องว่างทางความรู้และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการใช้การผสมผสาน
ระหว่างวิธีเชิงปริมาณและวิธีเชิงคุณภาพสำหรับการวิจัยพลวัตความยากจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
กรณีของประเทศกำลังพัฒนาและกรณีของประเทศไทย
47