Page 68 -
P. 68

ิ
                            ื
                               ิ
                                                                              ิ
                                                                  ิ
                                             ์
            โครงการหนังสออเล็กทรอนกสด้านการเกษตร เฉลมพระเกียรตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
                                                         46
            ปลูกปาล์มน้ำมันหลักของโลก ซึ่งมีประเทศผู้ผลิตที่สำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ในขณะที่ ประเทศ

                                              ั
            ไทยมีผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบมากเป็นอันดบ 3 ของโลก
                2.4.1.1 สถานการณ์โลก

                1. ผลผลิตน ำมันปาล์ม
                ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2559 - 2563) ผลผลิตน้ำมันปาล์มของโลกเพิ่มขึ้นจาก 58.92 ล้านตัน ในปี

            พ.ศ. 2559 เป็น 73.31 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2563 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.63 ต่อปี โดยอาจมีบางช่วงที่ผลผลิต

                                                                                                   ึ
            ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตปาล์มน้ำมันเพิ่มข้นอีก
            เป็น 76.40 ล้านตัน เนื่องจากเนื้อที่ให้ผลยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย

            ทั้งนี้ ในปีการผลิต 2564/65 อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มมากทสุดในโลก ซึ่งคิดเป็น
                                                                                      ี่
            ร้อยละ 58.25 ของปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มทั่วโลก รองลงมา คือ มาเลเซียและไทย มีปริมาณการผลต
                                                                                                      ิ
                                                                                                   ์
            น้ำมันปาล์ม 19.70 และ 3.12 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 25.79 และ 4.08 ของปริมาณการผลิตน้ำมันปาลมทั่ว
            โลก ตามลำดับ รวมแล้วมีผลผลิตรวม 67.32 ล้านตัน หรือร้อยละ 88.12 ของผลผลิตโลก

                2. ความต้องการใช้น ำมันปาล์ม
                ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มของโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2559 - 2563) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

            ร้อยละ 5.71 ต่อปี จาก 59.38 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2559 เป็น 74.21 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2563 และคาดว่าจะมี
            ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเป็น 75.51 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2564 เนื่องจากตลาดยังคงมีความต้องการใช้น้ำมัน

            ปาล์มอย่างต่อเนื่องทั้งความตองการเพื่อการบริโภคและเพื่อผลตไบโอดีเซล โดยมีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณความ
                                    ้
                                                                ิ
            ต้องการใช้น้ำมันปาล์มในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าปริมาณการผลิต ส่งผลทำให้สต็อกน้ำมันปาล์มโลกมี
            แนวโน้มลดลง และต่ำกว่า 10 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ

            มาตรการป้องกัน สกัดกั้น และชะลอการแพร่ระบาดที่จะส่งผลทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบ โดยเฉพาะ
            ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อพลังงานทดแทนในภาคการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ลดลงได้ ทั้งนี้ ความ

            ต้องการใชปาล์มน้ำมันของประเทศต่าง ๆ เป็นดังนี้
                     ้
                 •  อินโดนีเซีย เป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้สูงถึง 15.22 ล้านตัน ในปี
                   พ.ศ. 2564 หรือคิดเป็นร้อยละ 20.16 ของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มทั้งหมดของโลก เนื่องจาก

                   อินโดนีเซียมีนโยบายในการผลักดันการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตเป็นไบโอดีเซล ซึ่งจะช่วยลดการ

                   นำเข้าน้ำมันและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ โดยมีการคาดการณ์ว่าไบโอดีเซลของ
                   อินโดนีเซียจะเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคตส่งผลให้มีความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มมากขึ้น

                                                                               ้
                 •  อินเดีย เป็นผู้บริโภครายใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก โดยคาดว่าจะมีความตองการใช้ 8.65 ล้านตัน ในปี
                   พ.ศ. 2564 หรือคิดเป็นร้อยละ 11.46 ของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มทั้งหมดของโลก เนื่องจาก

                   อินเดียต้องนำเข้าเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอินเดียมีการ

                   นำเข้าน้ำมันปาล์มคิดเป็นร้อยละ 70 ของการนำเข้าน้ำมันพืชทั้งหมด (สำนักงานส่งเสริมการค้าใน
                   ต่างประเทศ, 2560)
   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72   73