Page 174 -
P. 174
ิ
์
ื
ิ
ั
ุ
ิ
ิ
โครงการหนังสออเล็กทรอนกส เฉลมพระเกียรตสมเด็จพระเทพรตนราชสดาฯ สยามบรมราชกุมาร ี
สัมมนาวิชาการและนิทรรศการ “พระไตรปิฎกบาลีสู่สากล” 143
ั
่
ั
เหตุผลทีไม่ตอบปญหาทางอภิปรัชญา พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนพระทัยการโต้เถียงปญหาทางอภิปรัชญา
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี คือ 1) ไม่เปนประโยชน คนพูดโต้เถียงย่อมเปนคนโง่เขลา กว่าจะได้ค าตอบ
็
็
้
์
ี
้
ก็ตายก่อน ทั้งนักคิดชาวตะวันตกและนักคิดชาวตะวันออกได้พยายามมาตั้งหลายพันปจนถึงทุกวันนี
่
ก็ยังตอบไม่ถูก 2) ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ คิดไปก็เสียเวลาเปล่า 3) ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน มีเรื่องอื่นทีเร่งด่วน
กว่าทีจ าต้องรีบคิดแก้ไข คือทุกคนมีทุกข์ต้องรีบดับทุกข์ก่อน และ 4) ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้ค าตอบ
่
ด้วยเหตุนี พระพุทธเจ้าครั้นถูกถาม พระองค์จะนิ่งเฉยเสียหรือปฏิเสธตรง ๆ หรือ
้
็
ให้ยกค าถามไว้ก่อนว่ายังไม่สมควรตอบ การไม่ตอบเปนความฉลาด ถ้าตอบ"ใช่" ก็ต้องตกอยู่ในข่าย
ของสัสสตวาทะ (ความเห็นว่าวิญญาณเทียง) ถ้าตอบ “ไม่ใช่” ก็จะอยูในข่ายอุจเฉทวาทะ (ความเห็นว่า
่
่
้
วิญญาณขาดสูญ) ผู้ใดมีศักยภาพสามารถรู้อดีตและอนาคตไม่มีขีดจ ากัดจะรู้และตอบปญหานีได้ดี
ั
เมือมีปญหาถามมา พระพุทธเจ้ามีวิธีจัดการกับค าถาม สามารถจ าแนกวิธีตอบได้ 4 แบบ
่
ั
์
(ที.ปา 11/225/241) คือ 1) ตอบตรง ๆ (ใช่ หรือไม่ใช่) เรียกว่า เอกังสพยากรณ 2) ตอบแบบวิเคราะห์
(แยกตอบ) เรียกว่า วิภัชชพยากรณ 3) ตอบแบบย้อนถามว่าหมายถึงอะไร เรียกว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ ์
์
4) บางคราวปญหาต้องยกเอาไว้ก่อน เรียกว่า ฐปนียพยากรณ จากการปฏิบัติจริง ค าตอบต่อ
์
ั
์
่
็
อัพยากตปญหาเหล่านีก็เปนสิ่งทีเปล่าประโยชน และจากฐานความคิดทางปรัชญาเอง นักปรัชญาก็ยัง
ั
้
็
้
หาไม่พบค าตอบสุดท้ายเปนที่ยอมรับกันได้โดยทั่วไป เพราะคิดแล้วไม่รู้จักจบสินดังกล่าว ดังนั้น
พระองค์จึงไม่ตอบปญหานี ้
ั
่
่
่
้
ุ
สรุปว่า ทีไม่ทรงตอบนั่นแหละถูกทีสุด เพราะเรืองเหล่านีพูดไม่ได้ อยูเหนือค าพูดของมนษย์
่
์
พระพุทธศาสนามหายานนิกายเซ็นถือว่า ประสบการณทางศาสนาขั้นสูงสุดนั้น อยูเหนือความคิด
่
่
่
ุ
(เหตผล) และภาษา เมือจะนาออกเผยแพร่แก่ผู้อืนจะต้องลดทอนลงถึง 2 ระดับ คือ ลดทอนลงสูระดับ
่
่
้
่
ความคิดทางเหตุผลก่อน แล้วลดลงสูสัญลักษณทางภาษาหรือการสือสารทีบัญญัติขึนในหมูชนต่าง ๆ
่
์
่
อีกระดับหนึง ด้วยเหตนี สิ่งทีผ่านสือจึงไม่ใช่สิ่งจริงทั้งหมดหรือสิ่งสากล ดังนั้น ตามทรรศนะนีถือว่า
่
ุ
้
้
่
่
พระพุทธศาสนามิได้คัดค้านหลักความจริงทางอภิปรัชญา แต่ต้องรู้ให้จริง รู้ให้ถึงแก่นของอภิปรัชญา
่
เท่านั้น การรู้แจ้งจะไม่ท าให้หลงยึดติด เมือไม่หลงยึดติด ทิฏฐิเหล่านีก็ไม่อาจผูกพันให้หลงวนอยูในข่าย
่
้
่
แห่งอภิปรัชญาเหมือนปลาติดแห ดังทีพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร (ที. สี. 9/28-149/11-47)
่
ขอนาพระสูตรทีว่าด้วยท่าทีของพระพุทธศาสนาต่อปญหาทางอภิปรัชญา ซึงปรากฏ
่
ั
ส
ในคัมภีร์สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค หมวดอัพยากตสังยุต (สัง. ฬ า .18/410/468) และ
ั
จูฬมาลุงกยสูตรในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณณาสก์ (ม.ม.13/126-128/137-141) มาเสนอ
็
เพือพิจารณาเปนตัวอย่าง ดังต่อไปนี ้
่