Page 172 -
P. 172
์
ิ
ิ
ื
ิ
ิ
ุ
ั
โครงการหนังสออเล็กทรอนกส เฉลมพระเกียรตสมเด็จพระเทพรตนราชสดาฯ สยามบรมราชกุมาร ี
สัมมนาวิชาการและนิทรรศการ “พระไตรปิฎกบาลีสู่สากล” 141
่
โลก และวิญญาณ ตลอดความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในสากลจักรวาล การเกิดขึ้น ตั้งอยูและดับไป
์
์
่
่
ของปรากฏการณ และบางสิ่งทีอยูเหนือปรากฏการณ พระพุทธศาสนากับพุทธปรัชญาเหมือนหรือ
ต่างกันอย่างไร ? พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ วันจันทร์) (2544: 36-37) อธิบายว่า พุทธปรัชญา
จะแทรกอยู่ในขอบข่ายทั้ง 4 ของพระพุทธศาสนา คือ 1) ศาสนธรรม 2) ศาสนวัตถุ 3) ศาสนบุคคล
่
และ 4) ศาสนพิธี ซึงล้วนมีนัยเชิงปรัชญาแฝงอยู ประเด็นใดบ้างเปนพุทธปรัชญา ? ต้องพิจารณา
่
็
องค์ประกอบ 2 คือ 1) มูลเหตุจูงใจและลักษณะการแสดงธรรม 2) เนือหาของพุทธธรรมและลักษณะ
้
การอธิบาย
่
เมือพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนากับพุทธปรัชญาไม่มีความเหมือนและ
ความแตกต่างกันเด่นชัด พุทธธรรมทั้งหมดเปนพระพุทธศาสนา จะมีความเปนพุทธปรัชญาหรือไม่
็
็
็
่
้
ขึนอยูกับการวิเคราะห์ เช่น อายตนะ 12 กับวิญญาณ 6 ถ้าเปนการแสดงเชิงพรรณนาว่า อายตนะ 12
คือ ตา+รูป หู+เสียง จมูก+กลิ่น ลิน+รส กาย+โผฏฐัพพะ ใจ+ธรรมารมณ เมืออายตนะแต่ละคู
่
้
์
่
ุ
็
กระทบกัน เช่น ตากับรูปกระทบกันเกิดการรับรู้ทางตา เรียกว่า จักษวิญญาณ เปนต้น การแสดง
เชิงพรรณนาอย่างนี จัดเปนพระพุทธศาสนา
็
้
่
ถ้าแสดงเชิงวิเคราะห์ เมือตากับรูปกระทบกันเพราะเหตุไรจึงท าให้เกิดการรับรู้ทางตา ?
ความเปนตา (จักขุตา) กับความเปนรูป (รูปตา) มีภาวะร่วมกันและกันอยูทางตา เพราะตากับรูป
็
่
็
มีภาวะ 2 ส่วน คือ 1) ภาวะของตัวเอง 2) ภาวะร่วมกัน สาเหตุที่ตาไม่สามารถได้ยินเสียงเพราะ
้
็
ขาดภาวะร่วมกัน การแสดงเชิงวิเคราะห์อย่างนีจัดเปนพุทธปรัชญา
ปรัชญามีหลายสาขา ที่นามาพิจารณาประกอบด้วย 1) อภิปรัชญา ศึกษาเรืองธรรมชาติ
่
ุ
ของโลกและมนษย์ 2) ญาณวิทยา ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีความรู้หรือความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับ
ุ
่
ุ
มนษย์ 3) จริยศาสตร์ ศึกษาเรืองความประพฤติหรือความสัมพันธ์ระหว่างมนษย์ระหว่างตัวเองกับ
ุ
่
เพือนมนษย์ ในทีนีจะได้ศึกษาประเด็นด้าน พุทธอภิปรัชญา พุทธญาณวิทยา และพุทธจริยศาสตร์
่
้
โดยสังเขป
3. พุทธอภิปรัชญา
อภิปรัชญา คือ สาขาปรัชญาทีศึกษาหาความเปนจริงของสิ่งทั้งหลายโดยใช้เหตุผล
็
่
็
เปนเครืองมือ หรือเรียก สั้น ๆ ว่า เปนวิชาทีว่าด้วยการคาดคะเนความจริงด้วยเหตุผล ไม่ยอมเชือ
่
่
่
็
่
อะไรง่าย ๆ ดังทีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในกาลามสูตรหรือเกสปุตตสูตร (อัง.ติก.20/505/212) พระพุทธเจ้า