Page 44 -
P. 44

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
          จารึกชีวิต




          ความรู้ทางด้านดนตรีไทย เป็นนักร้องส่งเพลง ๓ ชั้นดนตรีไทยประจำาโรงเรียนอยู่แล้ว เป็น
          หัวหน้าลูกคู่ มีหน้าที่บรรจุเพลงละครร้องประจำาโรงเรียน เล่นซอด้วงและออร์แกนเป็นเพลง

          สองชั้นได้ แต่ไม่อดทนพอที่จะหัดเล่นเพลงสามชั้น

                จบมัธยม ๘ ผมไม่มีเงินค่าเล่าเรียนให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ปีละ
          ๒๐ บาท จึงคิดจะไปเป็นครูประชาบาล เงินเดือน ๘ บาท เพื่อเก็บเงินมาเรียนธรรมศาสตร์

          บังเอิญผมสอบชิงทุน ก.พ. ได้ไปเรียนวิชาเกษตรที่ฟิลิปปินส์

                ปีนั้นผมเป็นคนเดียวที่สอบตกสัมภาษณ์ของ ก.พ. เพราะคุณหลวงวิจิตรวาทการ

          ถามว่า ทำาไมถึงอยากไปเรียนที่อังกฤษ ผมตอบว่ารู้ภาษาอังกฤษแล้ว ไม่อยากเรียนภาษาอื่น
          ให้ปวดหัวเปล่าๆ ที่ตอบไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่าคุณหลวงวิจิตรฯ รู้ถึง ๗ ภาษา ท่านเลยให้ผม

          ตกสัมภาษณ์ แต่เมื่อรวมกับคะแนนข้อเขียนยังผ่านไปได้

                ผมกลับจากฟิลิปปินส์ มาเรียนธรรมศาสตร์ทางไปรษณีย์จนสอบได้ธรรมศาสตรบัณฑิต

          แล้วเรียนต่อปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ สอบตกอยู่วิชาเดียวคือเศรษฐศาสตร์พิสดาร ท่านอาจารย์
          ออกข้อสอบว่า ท่านเห็นอย่างไรกับการแช่เย็นธนบัตรใบละพัน สมัยนั้นเงินเฟ้อ รัฐบาลได้
          แช่เย็นธนบัตรใบละพันให้ใช้ไม่ได้ชั่วคราวเป็นเวลาหนึ่งปี ตามข้อเสนอของท่านอาจารย์ผู้นั้น

          ผมตอบว่ามีทั้งคุณและโทษ ตัวอย่างเรื่องโทษ ได้แก่ ร้านทำาหมวกมีธนบัตรใบละพันอยู่เก้าใบ

          จะจ่ายเงินเดือนลูกจ้างก็จ่ายไม่ได้ โรงทำาหมวกอาจต้องปิดไป ผมจึงสอบตก

                อีกปีหนึ่งอาจารย์ผู้เดียวกันสอนว่า ราคาทองในเมืองไทยถูกกำาหนดโดยพ่อค้าเพียง
          สองสามคน ทองเป็นเหมือนสินค้าอย่างหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับค่าของเงินบาท พอดีท่านอาจารย์

          คึกฤทธิ์สอนว่า มีอาจารย์ธรรมศาสตร์ท่านหนึ่งสอนว่า ราคาทองไม่เกี่ยวกับค่าของเงินบาทนั้น
          ท่านว่าให้ฟังหูไว้หู เพราะแม้แต่ประเทศอังกฤษ พอทองขึ้นราคา รัฐมนตรีคลังต้องวิ่งพล่าน

          ทีเดียว ผมเอาคำาตอบท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไปตอบ จึงสอบตกอีก

                อีกครั้งหนึ่ง ผมสอบสัมภาษณ์วิชาการทหาร คำาถามว่า เห็นอย่างไรที่ทุกคนต้องเป็น
          ทหาร ผมตอบว่ามีส่วนดีและส่วนเสีย คือส่วนดี ฝึกหัดให้คนแข็งแรงขึ้นและมีระเบียบวินัย

          ที่ไม่เคยเรียนหนังสือก็จะได้เรียนจนอ่านออกเขียนได้ ส่วนข้อเสีย คือคนแต่ละคนมีความ
          สามารถที่จะช่วยชาติได้ในหน้าที่ต่างๆ กัน ท่านอาจารย์ติงว่าทุกคนไม่ว่าเจ้าว่าไพร่ต้องเป็นทหาร

          ดังนี้ไม่เป็นธรรมดีหรอกหรือ ผมยืนยันว่าบางคนอาจช่วยชาติในหน้าที่อื่นได้ดีกว่าเป็นทหาร
          ผมจึงสอบตกอีก


                ทั้งหมดนี้เพราะผมเป็นเลขาธิการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เงินเดือนสูงกว่าปริญญาโท
          อยู่แล้ว สอบได้หรือตกไม่สำาคัญสำาหรับผม




          42
   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49