Page 12 -
P. 12

โครงการรวบรวมและจัดทําวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


           6     วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์



           ตัวขึ้นของการรวมกลุ่มในสังคมไทยนับแต่ราวปลายทศวรรษ  2520  เป็นต้นมา  ทำให้เกิดกรอบการ
           วิเคราะห์หรือการให้ความหมายของการเมืองภาคประชาชนและบทบาทของประชาสังคมว่าเข้ามาทำหน้าที่
           ในการสร้างและจรรโลงประชาธิปไตย  ประชาสังคมและการเมืองภาคประชาชนได้กลายเป็นทั้งเป้าหมาย
           และกระบวนการสร้างและจรรโลงประชาธิปไตยของไทย
                    แต่อย่างไรก็ดี  ในระยะตั้งแต่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองของสีเสื้อ  การก่อตัวขึ้นของ

           พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้
           เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"  (กปปส.)  ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า  เรา
           ไม่สามารถเหมารวมได้อีกต่อไปว่า  การรวมกลุ่มหรือการเกิดกลุ่มพลังทางสังคมการเมืองเป็นจุดหมาย

           และกระบวนการสร้างประชาธิปไตยแบบอัตโนมัติ การรวมกลุ่ม การขับเคลื่อนด้วยการชุมนุมประท้วงไม่
           ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่พึงประสงค์สำหรับการสร้างและจรรโลงประชาธิปไตยได้เสมอไป  นั่น
           หมายความว่า  มีความจำเป็นที่การวิเคราะห์บทบาทหน้าที่ในมิติด้านการสร้างประชาธิปไตยของกลุ่มผล
           ประโยชน์หรือกลุ่มผลักดัน  จำเป็นต้องมองเห็นถึงกลุ่มที่มีลักษณะของการรักษาสถานภาพเดิม  มี
           ลักษณะการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม  หรือบางครั้งกลุ่มเหล่านี้ก็เชื่อมโยงกับการรัฐประหารยึดอำนาจที่มุ่ง

           การเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่มีลักษณะของทำลายระบอบประชาธิปไตยมากกว่าการสร้างและ
           จรรโลงประชาธิปไตย  ซึ่งงานศึกษาหน้าที่และบทบาทของกลุ่มในมิติเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีเลย
           สำหรับการศึกษากลุ่มพลังทางสังคมและการเมืองในสังคมไทยช่วงปัจจุบัน

                    2.2 ประเด็นถกเถียงในเรื่องประเภทของกลุ่มผลประโยชน์
                    หนังสือและตำราเกี่ยวกับทฤษฎีกลุ่มผลประโยชน์มักจะมีการจัดประเภทหรือลักษณะของกลุ่ม
           ผลประโยชน์เอาไว้เสมอ และที่นิยมอ้างอิงกันมากที่สุดก็คือ งานของ Almond and Powell (1974) ซึ่ง
           ได้แบ่งกลุ่มผลประโยชน์ออกเป็น 4 ประเภท โดยมองไปยังมิติของความเป็นสถาบันทางการเมือง (มอง
           จากกลุ่มแบบชั่วครั้งชั่วคราวไปจนถึงกลุ่มเชิงสถาบันที่ลงหลักปักฐานในระบบและโครงสร้างทางการเมือง)

           กล่าวคือ 1.กลุ่มผลประโยชน์แบบฉับพลัน (anomic interest group) 2.กลุ่มผลประโยชน์ที่มีโครงการ
           สร้างแบบหลวมหรือกลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่ได้จัดตั้งเป็นทางการ  (non-associational  interest  group)
           3.กลุ่มผลประโยชน์แบบสถาบัน (institutional interest group) และ 4.กลุ่มผลประโยชน์ที่จัดตั้งในรูป

           แบบสมาคม (associational interest group) (อาจจะกล่าวได้ว่า งานเขียนซึ่งเป็นตำราภาษาไทยอาศัย
           การแบ่งตามแนวของ Almond and Powell เช่น พฤฒิสาณ ชุมพล,ม.ร.ว., 2550; จุมพล หนิมพานิช,
           2545 ฯลฯ)
                    การแบ่งอีกแบบหนึ่งที่นิยมกันก็คือ  แบ่งประเภทกลุ่มผลประโยชน์ตามลักษณะของอาชีพหรือ
           ภาคส่วน หรือตามลักษณะทางสังคมประชากรของสมาชิกกลุ่ม เช่น กลุ่มสมาคมทางธุรกิจ (economic

           groups)  กลุ่มด้านศาสนาวัฒนธรรม  (spiritual  groups)  กลุ่มด้านศิลปะและการพักผ่อนหย่อนใจ
           (artistic-recreational organizations) กลุ่มในระดับท้องถิ่น (associations of local governments)
           กลุ่มผลประโยชน์ด้านสาธารณะกุศล (public interest groups) กลุ่มด้านชาติพันธุ์ (ethnic groups)

                    การแบ่งประเภทอีกแบบหนึ่งได้อาศัยเกณฑ์ในเรื่องลักษณะของผลประโยชน์  กล่าวคือ  ผล
           ประโยชน์ผลประโยชน์เชิงวัตถุ  (materialist  value)  กับผลประโยชน์ที่ไม่ใช่วัตถุ  (non-materialist
   7   8   9   10   11   12   13   14   15   16   17