Page 9 -
P. 9

โครงการรวบรวมและจัดทําวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


                                                         วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์   ปีที่ 41 ฉบับที่ 2   3



             จะเป็นหลักประกันที่รวมกันในการต่อสู้กับศัตรู (หมายถึงรัฐบาล) ยิ่งประชาชนมีความอ่อนแอไม่มีอำนาจ
             และบทบาทใดแล้วนั้น ก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มองในแง่นี้ รัฐประชาธิปไตยจึงควร
             สนับสนุนให้มีการตั้งสมาคมหรือกลุ่มต่างๆ  ขึ้น  ให้มีความเข้มแข็งและสามารถทำหน้าที่ชดเชยสิทธิของ
             ปัจเจกบุคคลที่อ่อนแอได้
                      ดังนั้น เมื่อมองในแง่การสร้างและจรรโลงประชาธิปไตย จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยปัจจัยด้านการ

             รวมกลุ่มของผู้คน ลักษณะพหุสังคม การมีรวมกลุ่มก้อนของผู้คน อันจะทำให้ประชาชนพลเมืองสามารถ
             ติดต่อกับรัฐบาล จูงใจรัฐบาลให้กำหนดนโยบายและบริหารงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของตน ดังนั้น
             เครื่องมือที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือการจัดตั้งเป็นกลุ่มทางสังคมการเมือง  กรอบการวิเคราะห์การเมืองแบบ

             กลุ่มผลประโยชน์จึงเกิดขึ้นมาเพื่ออธิบายการเมืองในประเทศประชาธิปไตยในตะวันตก  ซึ่งระบอบ
             การเมืองและโครงสร้างของระบบการเมือง  สถาบันทางการเมือง  ตลอดจนกระบวนการทางการเมือง
             ได้ลงหลักปักฐานแล้ว  กล่าวคือ  ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่มุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง
             การเมืองแบบกลุ่มผลประโยชน์  จึงสนใจการเมืองของการกระจายทรัพยากรในสังคม  (Politics  of
             Redistribution) พิจารณาว่ากลุ่มต่างๆ แข่งขันกันกันสร้างอิทธิพลเพื่อให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจตัดสินใจ

             ทางการเมืองตัดสินตกลงใจหรือกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนอย่างไร  มากกว่าจะ
             เป็นการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือระบอบ
                      เมื่อมีการนำทฤษฎีกลุ่มผลประโยชน์เข้ามาศึกษาในสังคมไทย  จึงมักให้ความสนใจลักษณะ

             ของกลุ่มผลประโยชน์ในสังคมไทยว่ามีอย่างหลากหลายมากน้อยแค่ไหน  เหมือนหรือใกล้เคียงกับ
             ประเทศที่เจริญแล้วหรือไม่อย่างไร งานบุกเบิกสำคัญก็คือ งานของ Fred W. Riggs ซึ่งพบว่า สังคมไทย
             หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ยังคงมีลักษณะเป็น “รัฐราชการ” ไม่มีองค์กรนอกภาครัฐ
             (Extra-Bureaucracy) หรือไม่มีกลุ่มทางสังคมการเมืองนอกจากกลุ่มข้าราชการที่อาจจะสลับกันมีอำนาจ
             ระหว่างข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือน  งานเขียนที่ทำงานต่อจากงานของ  Riggs  ก็คือ  งานของ

             มนตรี เจนวิทย์การ (2517) ที่พยายามทำให้เห็นว่า ที่จริงสังคมไทยเริ่มมีรอยปริออกจากมารัฐ กล่าวคือ
             เริ่มมีองค์กรนอกภาครัฐแต่ก็ยังอยู่ในการกำกับควบคุมโดยรัฐ  กล่าวคือ  รัฐได้ส่งเสริมให้มีการรวมเป็น
             กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจ  มีลักษณะเป็นการที่รัฐเข้าไปควบคุมกำกับ  โดยการจัดตั้งขึ้นอยู่กับการ

             อนุญาตโดยรัฐเท่านั้น  และอาศัยการควบคุมโดยกลไกกฎหมายด้วยการออก  พ.ร.บ.สมาคมการค้า
             พ.ศ.  2509  ห้ามจัดตั้งสมาคมธุรกิจที่อาจดำเนินการที่เป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของรัฐ
             ควบคุมกำกับและใช้สมาคมธุรกิจการค้าเป็นเครื่องมือทางนโยบายสาธารณะด้วยการควบคุมการประกอบ
             กิจการบางประเภท ควบคุมสินค้าส่งออก ฯลฯ ดังบทบัญญัติคือ ห้ามมิให้สมาคมการค้าดำเนินกิจกรรม
             ทางการเมือง  ห้ามมิให้มีสมาชิกที่มิใช่สัญชาติไทยมากกว่ากึ่งหนึ่ง  ห้ามจัดตั้งนอกจังหวัดพระนครหรือ

             ธนบุรี ห้ามให้เงินแก่ผู้ใดหรือองค์กรใด เว้นแต่จะเป็นเรื่องสาธารณกุศล ฯลฯ
                      ตัวอย่างเช่น  หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  ที่จัดเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่
             จัดตั้งในรูปแบบสมาคม  (Associational  Interest  Group)  ซึ่งมีการก่อตั้งและดำรงสถานภาพการเป็น

             องค์กรกลางของผู้ประกอบการภาคเอกชนทั่วไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติหอการค้าไทย
             พ.ศ.2509  ซึ่งปัจจุบันมีบทบาทในการสร้างเงื่อนไขหรือต่อรองเชิงอำนาจกับภาครัฐโดยอาศัยการจัดตั้ง
   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14