Page 271 -
P. 271
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การยึดฟอสเฟตไอออนอย่างแข็งแรงหรือการตรึงฟอสเฟต เป็นปฏิกิริยาที่เกิดอย่าง
ต่อเนื่องของทั้งการตกตะกอนและการดูดซับ ภายใต้เงื่อนไขดังนี้คือ เมื่อความเข้มข้นของฟอสเฟตไอออน
ในสารละลายดินต�่า ปฏิกิริยาส่วนใหญ่จะเป็นการดูดซับ แต่การตกตะกอนจะเกิดขึ้นเมื่อความเข้มข้นของ
ฟอสเฟตไอออนในสารละลายดินสูงถึงระดับหนึ่ง ดังนั้นภายหลังการใส่ปุ๋ยฟอสเฟตที่ละลายน�้าง่ายลงไป
ในดิน ความเข้มข้นของฟอสเฟตไอออนในสารละลายดินจะเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว (ระดับความเข้มข้น
ที่เพิ่มนั้น ขึ้นอยู่กับอัตราปุ๋ยฟอสเฟตที่ใส่และวิธีการใส่) จึงเกิดปฏิกิริยาการดูดซับและตกตะกอนทันที
โดยลักษณะของปฏิกิริยาเป็นดังนี้
1) การตกตะกอนของฟอสเฟต เกิดเมื่อความเข้มข้นของฟอสเฟตไอออนในสารละลาย
ดินสูงกว่าสภาพละลายได้ (solubility) ของแร่ฟอสเฟตที่เป็นผลของการตกตะกอน และ
2) การดูดซับฟอสเฟต เกิดเมื่อยังมีพื้นผิวบนอนุภาคแร่เหลืออยู่ หรือยังดูดซับฟอสเฟต
ไม่เต็มที่
ไม่ว่าการตรึงฟอสเฟตในดินจะเกิดโดยการดูดซับหรือการตกตะกอน แต่ให้ผลเหมือนกัน
คือลดความเข้มข้นของฟอสเฟตไอออนในสารละลายดิน พืชจึงใช้ประโยชน์จากฟอสฟอรัสในดินได้น้อยลง
2.4.3 อิทธิพลของการขังน�้า
การขังน�้าท�าให้ความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดินสูงขึ้น ซึ่งเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ
1) ส่วนใหญ่เนื่องจากการแปรสภาพของเฟอริกฟอสเฟต (รูปออกซิไดส์) เป็นเฟอรัส
ฟอสเฟต (รูปรีดิวซ์) และแมงกานิกฟอสเฟต (รูปออกซิไดส์) เป็นแมงกานัสฟอสเฟต (รูปรีดิวซ์) ซึ่งเป็น
สารประกอบที่ละลายน�้าได้ง่ายขึ้น
2) สาเหตุอื่นๆ ซึ่งมี 4 ประการได้แก่
(1) การละลายได้เพิ่มขึ้นของสารประกอบฟอสเฟตบางอย่างที่ละลายยาก
(2) ในดินกรดมีการปลดปล่อยฟอสเฟตจากสารประกอบอินทรีย์ฟอสเฟตมากขึ้น
เนื่องจากพีเอชของดินหลังการขังน�้าสูงขึ้น ท�าให้กิจกรรมการย่อยสลายโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์มีมากขึ้น
(3) ในดินเนื้อปูนมีการละลายของสารประกอบแคลเซียมฟอสเฟตมากขึ้น และ
(4) การขังน�้าช่วยให้การแพร่ของฟอสเฟตไอออนในดินมีมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีการขังน�้าเพื่อเตรียมดินส�าหรับปลูกข้าว การเปลี่ยนแปลงทางเคมีจึงส่งเสริม
ให้ความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดินเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพก่อนการขังน�้า
2.5 การรักษาระดับฟอสเฟตไอออนในสารละลายดิน
เนื่องจากฟอสเฟตไอออนในสารละลายดิน คือส่วนที่รากพืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย เป็นส่วนของ
“ความเข้ม (intensity)” ซึ่งหากรักษาไว้ในระดับที่เหมาะสมอย่างสม�่าเสมอ พืชก็จะไม่ขาดแคลนฟอสฟอรัส
อย่างไรก็ตาม การรักษา “ระดับความเข้ม” ขึ้นอยู่กับความสามารถของ “ส่วนปริมาณ (quantity)” อันได้แก่
ฟอสฟอรัสที่เปลี่ยนรูปง่าย (labile P) ซึ่งหมายถึงสารประกอบฟอสเฟตที่ไม่มีเสถียรภาพและเปลี่ยนแปลง
เสมอ (unstable) ประกอบด้วย
ดิน ธาตุอาหารและปุ๋ยข้าว ฟอสฟอรัสของข้าว 267