Page 35 -
P. 35
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
18
กล่าวในอีกลักษณะหนึ่งได้ว่า ส่วนเหลื่อมการตลาดข้าวโพดเดือนพฤศจิกายนปี 2530
เท่ากับร้อยละ 25
ส าหรับต้นทุนการตลาดและส่วนเหลื่อมการตลาดนี้ หากน ามาพิจารณากันอย่าง
ลึกซึ้งภายใต้สถานการณ์ปกติแล้วจะเห็นได้ว่า ต้นทุนการตลาดก็คือส่วนเหลื่อมการตลาดนั่นเอง
ทั้งนี้เพราะโดยปกติราคาที่ผู้บริโภคจ่ายจะเท่ากับราคาที่เกษตรกรได้รับรวมกับค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน
การตลาดที่เกิดขึ้น ดังนั้นความแตกต่างระหว่างราคาที่ผู้บริโภคจ่ายกับราคาที่ผู้ผลิตได้รับหรือส่วน
เหลื่อมการตลาดจึงควรเท่ากับต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายการตลาดพอดี แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของ
ต้นทุนการตลาดในบางแนวความคิดไม่รวมถึงก าไรของผู้ประกอบการด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วต้นทุน
การตลาดกับส่วนเหลื่อมการตลาดจะต่างกันเท่ากับก าไรที่ผู้ประกอบการหรือผู้ท าหน้าที่ตลาดได้รับ
นอกจากนี้ ในระยะเวลาสั้นหรือในบางขณะราคาที่ผู้บริโภคจ่ายจะไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กล่าว
มาแล้วเสมอไป ผู้ท าหน้าที่ตลาดอาจได้ราคาสินค้าหรือตั้งราคาสินค้าให้สูงกว่าหรือต่ ากว่าราคาที่
เกษตรกรได้รับรวมกับต้นทุนการตลาด (ซึ่งรวมถึงก าไรของผู้ประกอบการตามปกติแล้ว) ในกรณี
เช่นนี้หมายความว่า ผู้ประกอบการหรือผู้ท าหน้าที่การตลาดได้รับก าไรส่วนเกินหรือขาดทุนในการ
ด าเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ท าให้ส่วนเหลื่อมการตลาดไม่เท่ากับต้นทุนการตลาด
3) ส่วนแบ่งของผู้ผลิต หมายถึง ส่วนที่ตกแก่ผู้ผลิตหรือราคาที่ผู้ผลิตได้รับ เมื่อ
คิดเทียบเป็นร้อยละจากราคาสินค้าที่ผู้บริโภคจ่าย เช่น ส้มโอนครชัยศรี ชาวสวนขายได้ในราคาผล
ละ 12 บาท ผู้บริโภคในกรุงเทพฯ ซื้อได้ในราคาผลละ 20 บาท ส่วนแบ่งของผู้ผลิตส าหรับส้มโอ
นครชัยศรีจึงเท่ากับร้อยละ 60 เช่นเดียวกัน การศึกษาและวิเคราะห์ส่วนแบ่งของผู้ผลิต อาจ
พิจารณาศึกษาเฉพาะในแต่ละช่วงของตลาดหรือตัวสินค้าได้
4) ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนแบ่งของผู้ผลิตและส่วนเหลื่อมการตลาด ในเมื่อ
ราคาสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อเท่ากับราคาที่ผู้ผลิตได้รับบวกกับส่วนเหลื่อมการตลาด ส่วนเหลื่อมการตลาด
และส่วนแบ่งของผู้ผลิตจึงมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หากส่วนแบ่งของผู้ผลิตมาก
ส่วนเหลื่อมการตลาดจะน้อย และหากส่วนเหลื่อมการตลาดมาก ส่วนแบ่งของผู้ผลิตก็จะน้อย
ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงส่วนเหลื่อมการตลาดหรือส่วนแบ่งของผู้ผลิตอย่างใดอย่างหนึ่ง จะสามารถเข้าใจ
ในอีกส่วนหนึ่งได้ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ไพทูรย์ รอดวินิจ (2537) พบว่าส่วนเหลื่อมการตลาดสินค้า
เกษตรชนิดต่าง ๆ (ธัญพืชและพืชไร่) จะอยู่ระหว่าง 15 – 30% การที่ส่วนเหลื่อมการตลาดสินค้า
เกษตรแต่ละชนิดจะมากน้อยต่างกันอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับ
ก) บริการหรือหน้าที่การตลาดที่ท ากับตัวสินค้านั้น สินค้าใดที่การตลาดได้ให้บริการ
หรือท าหน้าที่การตลาดกับตัวสินค้ามาก ส่วนเหลื่อมการตลาดของสินค้านั้นจะสูงกว่าสินค้าที่
การตลาดได้ให้บริการ หรือท าหน้าที่การตลาดไม่มากนัก
ข) ลักษณะของสินค้า สินค้าที่มีลักษณะเน่าเสียง่าย อยู่ห่างไกลแหล่งบริโภค
เทอะทะกินเนื้อที่ (bulkiness) สินค้าประเภทนี้จะมีส่วนเหลื่อมการตลาดสูง ทั้งนี้เพราะต้องใช้
บริการตลาดเป็นพิเศษ เช่น การเก็บรักษาพิเศษและการขนส่งพิเศษ เป็นต้น
ค) ลักษณะความต้องการของผู้บริโภค สินค้าใดที่ผู้บริโภคต้องการในรูปร่างที่
ส าเร็จรูปมาก หรือมีความสะดวกสบายในการซื้อหาและบริโภคมาก ส่วนเหลื่อมการตลาดสินค้านี้จะมี
ค่ามากไปด้วย