Page 125 -
P. 125

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                                                                                       121






                     11.4 ผลของการมีชิ้นสวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นมาตอลักษณะอื่น ๆ


                               โดยทั่วไปการมีชิ้นสวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นมามีผลตอการเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก
                     ของสิ่งมีชีวิตนอยกวาการขาดหายไปของชิ้นสวนโครโมโซม การเพิ่มขึ้นของชิ้นสวนโครโมโซมจนมี

                     ผลตอการเปลี่ยนแปลงของลักษณะภายนอกมีพบเพียงไมกี่กรณี ดังที่ไดอธิบายไวในกรณีแมลงหวี่มี
                     นัยตาขนาดเล็กซึ่งเกิดจากการมียีน Bar เพิ่มขึ้นมา ทําใหไดลักษณะใหมที่คลายกับวาถูกควบคุมดวย

                     ยีนเดน การเพิ่มขึ้นของชิ้นสวนโครโมโซมแบบอื่น ๆ ที่มีพฤติกรรมคลายกับเปนยีนเดนเมื่ออยูใน
                     สภาพเฮตเทอโรไซกัส ไดแก การเพิ่มขึ้นของชิ้นสวนโครโมโซมที่ทําใหแมลงหวี่มีขนแข็ง ๆ (bristle)

                     ระหวางปกทั้งสอง (theta หรือ Th) ซึ่งไมพบในแมลงหวี่ปกติ เกิดจากการมีชิ้นสวนตรงปลายดานซาย
                     ของโครโมโซมเพศ-เอกซเพิ่มขึ้นมา ชิ้นสวนโครโมโซมดังกลาวเปนที่อยูของยีน 3 คู คือ y, sc และ bb

                     แมลงหวี่ที่มีนัยตาสีแดง (eosin)  จางลง (pale  หรือ P)  เกิดจากโครโมโซมคูที่ 3 มีชิ้นสวนของ
                     โครโมโซมคูที่ 2 เพิ่มขึ้นมา (displaced duplication) และแมลงหวี่ที่มีนัยตาขนาดเล็กและตําแหนงของ

                                                                                 D
                     ตาเคลื่อนไปอยูทางตอนหลังดานบนของตัว (eyeless  dominant หรือ ey ) เกิดจากการที่โครโมโซมคู
                     ที่ 4 มีชิ้นสวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นมา แตไมทราบวาชิ้นสวนดังกลาวมาจากโครโมโซมใด และถา

                     ชิ้นสวนโครโมโซมที่เพิ่มขึ้นมาอยูในสภาพโฮโมไซกัสจะทําใหเกิดการตายของตัวออน


                     11.5  การศึกษาทางเซลลวิทยาของการเพิ่มขึ้นของชิ้นสวนโครโมโซม

                               McClintock (1941) ไดอธิบายถึงการจับคูกันของโครโมโซมคูเหมือน และการแลกเปลี่ยน

                     ชิ้นสวนโครโมโซมในระหวางการแบงเซลลแบบโมโอซิสของสิ่งมีชีวิตที่เปนรีเวอรส แทนเดม ดุพ
                     พลิเคชัน และมีพันธุกรรมอยูในสภาพที่เปนเฮตเทอโรไซกัส (reverse tandem  duplication
                     heterozygote)  ซึ่งมีผลทําใหเกิดวงจรการแตกหัก เชื่อมตอ และสรางสะพาน  ไดเชนเดียวกับการ

                     เปลี่ยนแปลงทางโครงสรางของโครโมโซมแบบดีลีชัน โดยการเพิ่มขึ้นของชิ้นสวนโครโมโซมที่

                     McClintock ศึกษาเปนแบบรีเวรส แทนเดม ดุพพลิเคชั่น ซึ่งเกิดขึ้นที่แขนสั้นของโครโมโซมคูที่ 9
                     ของขาวโพด ซึ่งเปนที่อยูของยีนที่ทําใหเยื่อหุมเมล็ดไมมีสี (colorless aleurone) (c : 26) ยีนที่ทําให
                     เอนโดสเปรมเหี่ยวยน (shrunken endosperm) (sh : 29) และยีนที่ทําใหละอองเกสรและเอ็นโดสเปรมมี

                     ลักษณะเปนไข (waxy pollen and endosperm) (wx : 59) (รูปที่  11.6) ในระยะพะคีทีนของการแบง

                     เซลลแบบโมโอซิส โครโมโซมคูเหมือนจะมาจับคูกันโดยในตอนแรกชิ้นสวนโครโมโซมที่เพิ่มขึ้นมา
                     แตกลับทิศทาง (reverse tandem chromosome segment)  มีการหักพับทําใหเกิดการจับคูกันภายใน
                     โครโมโซมเดียวกัน จากนั้นโครโมโซมคูเหมือนที่ประกอบดวยโครโมโซมปกติกับโครโมโซมที่มี

                     ชิ้นสวนเพิ่มขึ้นมาแบบกลับทิศทางจะมาจับคูกันอีกที ดังแสดงในรูปที่ 11.6 ผลของการจับคูกันแบบนี้

                     ในระยะอะนาเฟสจะไดโครโมโซมรูปสะพาน และชิ้นสวนที่ไมมีเซนโตรเมียรอีก 1 ชิ้น เมื่อสิ้นสุด
                     การแบงเซลลแบบไมโอซิส  เซลลสืบพันธุที่ไดจะประกอบดวยโครโมโซมที่มีชิ้นสวนขาดหายไป
                     หรือเพิ่มขึ้นมา ขนาดใหญบางเล็กบางขึ้นอยูกับรอยแตกหักที่เกิดขึ้นในระยะอะนาเฟส นอกจากนี้โคร

                     มาติดที่เปนพี่นองกันยังมีแนวโนมที่จะมาเชื่อมตอกันตรงสวนปลายที่แตกหักในการแบงเซลลแบบ

                     ไมโตซิส  ซึ่งจะมีผลทําใหวงจรการแตกหัก  เชื่อมตอ และสรางสะพานเกิดขึ้นอีก
   120   121   122   123   124   125   126   127   128   129   130