Page 123 -
P. 123

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                                                                                       119






                               Sturtevant (1925)  เปนคนแรกที่สังเกตพบการแลกเปลี่ยนชิ้นสวนโครโมโซมแบบไม

                     สมดุลที่ตําแหนงของยีน Bar  ซึ่งควบคุมลักษณะนัยตาขนาดเล็กของแมลงหวี่ ในพืช McClintock

                     (1933) ไดศึกษาแลกเปลี่ยนชิ้นสวนโครโมโซมแบบไมสมดุลที่ระยะพะคีทีนในขาวโพด
                          3.  เกิดจากการแลกเปลี่ยนชิ้นสวนระหวางโครโมโซมปกติกับโครโมโซมที่มีการตอสลับของ

                     ชิ้นสวนภายในโครโมโซม (inversion) หรือกับโครโมโซมที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนชิ้นสวนระหวาง

                     โครโมโซมที่มิไดเปนคูกัน (translocation)


                     11.3 ผลของการมีชิ้นสวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นมา


                               การมีชิ้นสวนโครโมโซมหรือยีนเพิ่มขึ้นมามีผลทําใหลักษณะภายนอกของสิ่งมีชีวิต

                     เปลี่ยนแปลงไป เรียกวา โพสิซัน เอฟเฟค (position effect) ซึ่งแบงออกไดเปน 2 ชนิด คือ

                              11.3.1  ชนิดคงตัว (stable หรือ s-type) การเพิ่มขึ้นของชิ้นสวนโครโมโซมแบบนี้เกิดขึ้น
                     ในสวนของโครโมโซมที่ยอมติดสีจาง เชน ลักษณะนัยตาขนาดเล็ก (bar eye) ของแมลงหวี่ ซึ่งเกิดจาก
                     การมีชิ้นสวนบริเวณ  16 A 1  ถึง  16  A 6  เพิ่มขึ้นมาบนโครโมโซมเพศ-เอกซ  ซึ่งชิ้นสวนบริเวณ

                     ดังกลาวประกอบดวยแถบคาดขวาง 6 แถบ ชิ้นสวนที่เพิ่มขึ้นมานี้ คือ ตําแหนงที่มียีน Bar 2 ยีนซ้ํากัน

                     ซึ่งมีผลทําใหนัยตาแมลงหวี่มีขนาดเล็กกวาปกติ ถาโครโมโซมคูเหมือนที่มียีน Bar 2 ตําแหนงมาจับคู
                     กันและเกิดการแลกเปลี่ยนชิ้นสวนโครโมโซมแบบไมสมดุล จะมีผลทําใหไดโครมาติดอันหนึ่งที่มียีน
                     bar เพิ่มขึ้นเปน 3 ตําแหนง (triplex) (รูปที่ 11.4) สวนอีกโครมาติดหนึ่งมียีน Bar ลดลงเหลือหนึ่ง

                     ตําแหนง แมลงหวี่ที่มียีน Bar ตั้งแต 1 ถึง 3 ตําแหนงเมื่อมีการผสมพันธุกัน จะทําใหไดแมลงหวี่ที่มี

                     นัยตาขนาดตาง ๆ กันตั้งแตปกติ (bar-reverted normal) เล็ก (bar) จนถึงเล็กมาก (bar double) (รูป
                     ที่ 11.5)
                                11.3.2  ชนิดดาง (variegated หรือ V-type) ชิ้นสวนของโครโมโซมหรือยีนที่เพิ่มขึ้นมา

                     เปนสวนที่ยอมติดสีเขมของโครโมโซม  และมีผลไปยับยั้งการทํางานของยีนปกติ  ทําใหเนื้อเยื่อของ

                     สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ประกอบดวยกลุมเซลลปกติและกลุมเซลลที่มีลักษณะดอย (somatic mosaicism หรือ
                     variegation) ตัวอยางเชน ระบบของยีน Ac-Ds (activator-dissociator) ในขาวโพด ในระบบนี้มียีน 2 คู
                     คือ  ยีน  Ac  และ  Ds  ซึ่งมีตําแหนงอยูบนโครโมโซมในสวนที่ยอมติดสีเขม  ยีนทั้งสองสามารถ

                     เคลื่อนยายไปอยูในที่ตาง ๆ ของโครโมโซมได (transposition) เมื่อยีน Ds เคลื่อนยายไปอยูชิดกับยีน

                     ใดจะระงับการทํางานของยีนนั้น  เชน  เมื่อยีน  Ds  เคลื่อนยายไปอยูชิดกับยีน  wx  ซึ่งควบคุมลักษณะ
                     คลายไข (waxy) ของเอนโดสเปรมในขาวโพด จะมีผลทําใหเนื้อเยื่อเอนสเปรมบางสวนเปนปกติและ
                     บางสวนที่เซลลไมมียีน Ds จะมีลักษณะคลายไขซึ่งเปนลักษณะดอย อยางไรก็ตามการเคลื่อนยายของ

                     ยีน Ds จะเกิดขึ้นไดตอเมื่อมียีน Ac อยูดวยในเซลลนั้น ๆ เราอาจเปรียบเทียบไดวา การทํางานของยีน

                     โครงสราง  (structural gene)  ซึ่งในที่นี้คือ  ยีน  wx  ถูกควบคุมโดยยีน  Ds  ซึ่งทําหนาที่เปนยีน
                     โอเปอเรเตอร (operator gene) สวนยีน Ac จะทําหนาที่คลายกับเปนยีนเรคกูเรเตอร (regulator gene)
                     ตามทฤษฎีโอเปอรอน (operon) ของสิ่งมีชีวิตชั้นต่ํา
   118   119   120   121   122   123   124   125   126   127   128