Page 25 -
P. 25
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
การตรวจสอบสภาพแวดล้อม 20
เงินตราต่างประเทศ และปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ถือเป็นปัจจัยสําคัญที่มีผลกระทบต่อการ
ดําเนินงานขององค์กร (อํานาจ ธีระวนิช, 2547)
สถานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาในช่วงปี พ.ศ.2545 – 2548 มีการเติบโตอย่าง
ต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 5.7 ต่อปี และจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยมีขนาดทาง
เศรษฐกิจใหญ่เป็นลําดับที่ 20 จากจํานวน 192 ประเทศในโลก โดยยังคงมีบทบาททางการค้าระหว่าง
ประเทศและรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ในขณะที่การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น ตลอดทั้งการพัฒนา
เศรษฐกิจฐานความรู้ปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างการผลิตมีจุดแข็งที่มีฐานการผลิตที่หลากหลาย ช่วยลด
ความเสี่ยงจากภาวะผันผวนของวัฎจักรเศรษฐกิจและสามารถเชื่อมโยงระหว่างภาคการผลิตเพื่อสร้าง
มูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีจุดอ่อนในเชิงโครงสร้างที่ต้องพึ่งพิงการนําเข้า
วัตถุดิบ ชิ้นส่วน พลังงาน เงินทุน และเทคโนโลยีในสัดส่วนที่สูง โดยที่ผลิตภาพการผลิตยังต่ํา การ
ผลิตอาศัยฐานทรัพยากรมากกว่าองค์ความรู้ มีการใช้ทรัพยากรเพื่อการผลิตและบริโภคอย่าง
สิ้นเปลือง ทําให้เกิดปัญหาสภาพแวดล้อมและผลกระทบในด้านสังคมตามมา โดยไม่มีการสร้าง
ภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสม ส่วนโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ยังขาดประสิทธิภาพและ
การเชื่อมโยงที่เป็นระบบ ทําให้มีต้นทุนสูง สําหรับการแก้ไขปัญหาความยากจน พบว่า ประชาชนมี
ความยากจนลดลง โดยยังมีคนที่อยู่ภายใต้เส้นความยากจนซึ่งมีระดับรายได้ 1,242 บาทต่อเดือน อยู่
จํานวน 7.34 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.3 ของประชากรทั้งประเทศ ในส่วนของการกระจายรายได้
ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า โดยค่าดัชนีจีนี่ (Gini coefficient) เท่ากับ 0.499 ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 0.525
ในปี พ.ศ.2543 และ 0.501 ในปี พ.ศ.2545 แต่ยังคงต้องให้ความสําคัญ เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกับ
ประเทศอื่น ๆ แล้ว การกระจายรายได้ของไทยยังมีความเท่าเทียมน้อยกว่าอีกหลายประเทศ
(สํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2550)
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกในปี พ.ศ.2553 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน
ประเทศแถบทวีปเอเชีย ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนและอินเดีย จะขยายตัวประมาณร้อยละ
9.7 และ 8.3 ตามลําดับ รวมทั้งในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน
และฮ่องกง จะขยายตัวร้อยละ 10.0, 5.8, 7.0 และ 5.2 ตามลําดับ ส่วนในกลุ่มประเทศอาเซียน
ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม จะขยายตัวร้อยละ 7.0, 6.0 และ 6.0 ตามลําดับ
(สํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2553) ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยจะ
ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 7.0 – 7.5 โดยมีการขยายตัวทั้ง
ภาคการส่งออก การใช้จ่ายภาคครัวเรือน การลงทุนภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการ
ท่องเที่ยว แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ปัญหามลพิษนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการปรับค่าเงินหยวนของ
การกําหนดยุทธศาสตร์ (Strategy Formulation)