Page 80 -
P. 80

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี




                       ปฏิกิริยาลูกโซ                                                                  71





                              โดยทั่วไป  อัตราการเกิดปฏิกิริยาของขั้นตอนมูลฐานขึ้นกับความเขมขนของสารตั้งตนของ
                       ขั้นตอนนั้นๆ  แตในกรณีปฏิกิริยาโฟโตเคมีตามกฎสตารค-ไอนสไตน  จะไดอัตราการเกิดปฏิกิริยา

                       ของขั้นตอนมูลฐานที่ใชแสงขึ้นกับความเขมของแสง (absorbed intensity, I ) ซึ่งเปนจํานวนโมล
                                                                                      abs
                       โฟตอนของแสงที่มีความถี่ที่เหมาะสมตอปริมาตรตอเวลา ดังนั้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาในขั้นเริ่มตน

                       ตามสมการ (3.11) คือ
                                                     d  [Br  ]     1 [Br]d
                                                   –     2   =             =        I abs         (3.11)
                                                       dt         2    dt

                       และดําเนินการตอไปในทํานองเดียวกับการทดสอบกลไกของปฏิกิริยาระหวางแกสไฮโดรเจนและ
                       โบรมีนโดยใชความรอนที่กลาวมาแลวในหัวขอ 2.6.5  จนไดกฎอัตราดิฟเฟอเรนเชียลของการ

                       เปลี่ยนแปลงความเขมขนของ HBr ตามสมการ (3.12) และ (3.13) หรือเสมือนแทนที่เทอม k [Br ]
                                                                                                        2
                                                                                                     1
                       ของปฏิกิริยาที่ใชความรอนดวยเทอม I  ในสมการ (2.121) และ (2.122)
                                                       abs
                                                                               1/2
                                                                         ⎛  1 ⎞
                                                                                            1/2
                                                                                           I ]
                                                                    k 2  k ⎜  ⎟   [H  ] [Br 2 abs
                                                    d  [HBr]         2  3 ⎝ k 5 ⎠   2
                                                            =                                   (3.12)
                                                      dt                k 3 [Br 2 ] + k 4 [HBr]

                                                                            1/2
                                                                      ⎛ 1  ⎞
                                                                    k 2  ⎜  ⎟ [H    I ]  1/2
                                                                                     abs
                                                    d  [HBr]         2  k  ⎠     2
                       หรือ                                 =         ⎝ 5                         (3.13)
                                                      dt                  ⎛ [HBr]k  ⎞
                                                                     1  +  ⎜  4    ⎟
                                                                            k
                                                                          ⎝ 3 [Br 2 ]  ⎠

                       สมการ (3.12) และ (3.13) แสดงใหเห็นวาอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นกับรากที่สองของความเขมของ

                       แสง และสอดคลองกับผลการทดลอง

                              นอกจากนั้นยังมีปฏิกิริยาโฟโตเซนซิไทเซชัน (Photosensitization) ซึ่งเปนอีกตัวอยางหนึ่ง
                       ของปฏิกิริยาโฟโตเคมี แตโมเลกุลที่ไมไดเกี่ยวของกับปฏิกิริยาเปนตัวรับแสง แลวจึงถายเทพลังงาน

                       ไปยังโมเลกุลของสารตั้งตน (หรืออาจกลาววาโมเลกุลของสารตั้งตนไมดูดกลืนแสงโดยตรง)  และ

                       เกิดปฏิกิริยาลูกโซตอไป

                              ตัวอยางเชนการสังเคราะหฟอรมาลดีไฮด (formaldehyde, HCHO)  จากแกสคารบอนมอน
                       น็อกไซด (carbon monoxide, CO)  และแกสไฮโดรเจน (hydrogen, H )  โดยใชแสงที่มีความยาว
                                                                                   2
                       คลื่น 254  นาโนเมตรจากหลอดไฟฟาที่บรรจุแกสทั้งสองและปรอทเล็กนอย (mercury discharge
   75   76   77   78   79   80   81   82   83   84   85