Page 27 -
P. 27
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พลวัตของความยากจน
การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะพลวัตของความยากจนถือว่ามีความสำคัญ
อย่างมากต่อการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน เนื่องจากแต่ละประเภทความ
ยากจนหรือแต่ละกลุ่มของคนจนมีความต้องการความช่วยเหลือทางด้านนโยบายที่แตกต่างกัน
ออกไป นโยบายเพื่อแก้ไขความยากจนแบบครั้งคราวก็จะแตกต่างจากนโยบายเพื่อความยากจน
แบบเรื้อรัง (Grootaert et al, 1995; McCulloch and Baulch, 2000) ยกตัวอย่างเช่น หาก
ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความยากจนระยะยาวหรือแบบเรื้อรัง (chronic poor) จะต้อง
ได้รับความช่วยเหลือด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงหรือปฏิรูปโครงสร้างที่ช่วยในการ
ประกอบอาชีพและส่งเสริมการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างๆ ในระยะยาว เช่น นโยบายปรับปรุง
โครงสร้างการกระจายรายได้และการลงทุนในสินทรัพย์ทางโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการ
เข้าถึงบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสุขภาพ การศึกษา และสาธารณูปโภคต่างๆ ในขณะที่
หากประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ที่เผชิญกับความยากจนแบบเป็นครั้งคราว (transient poor)
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางครัวเรือนหรือได้รับผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่
คาดคิด (shocks) ก็จะต้องได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายที่ช่วยป้องกันการเกิดความผันผวน
ระยะสั้นที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น นโยบายคุ้มครองทางสังคม การสนับสนุนด้านสินเชื่อ การให้หลัก
ประกันในการประกอบอาชีพ เป็นต้น
จากการรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับพลวัตความยากจนในประเทศกำลังพัฒนาเท่าที่มีอยู่
ทั้งหมด Baulch และ Hoddinott (2000) ระบุว่าจากการศึกษาทั้งหมด 10 ประเทศ โดยอาศัยการ
วิเคราะห์ข้อมูลภาคตัดขวางตามเวลา (panel data) ส่วนใหญ่แล้วพบว่าจำนวนของผู้ที่เผชิญ
ปัญหาความยากจนแบบครั้งคราว หรือผู้ที่เข้าและออกจากความยากจนมีมากกว่าจำนวนของผู้ที่
อยู่ในความยากจนแบบเรื้อรัง การรวบรวมของ McKay และ Lawson (2002) ก็ระบุแนวโน้ม
ดังกล่าวเช่นเดียวกัน
McCulloch และ Baulch (2000) ทำการศึกษาพลวัตความยากจนในประเทศปากีสถาน
และรายงานผลว่าในแต่ละปีจะมีสัดส่วนคนจนประมาณร้อยละ 30 แต่สัดส่วนของผู้ที่ออกจาก
และเข้าสู่ความยากจนมีสูงกว่านั้น โดยคิดเป็นครึ่งหนึ่งของครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่ผู้ที่อยู่ในความ
ยากจนเรื้อรัง มีเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น แนวโน้มดังกล่าวได้รับการยืนยันเช่นกันจากผลการศึกษา
ของ Justino และ Litchfield (2004) ที่ศึกษาพลวัตความยากจนในประเทศเวียดนาม พบว่าผล
จากการปรับโครงสร้างทางการค้าของประเทศ ทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่ยากจนมีแนวโน้มลดลง
อย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างปี 1992 และ 1997 จากร้อยละ 60 เหลือเพียงร้อยละ 37 อย่างไรก็ดี
พบว่าสัดส่วนของผู้ที่เข้าสู่และออกจากความยากจนกลับมีอัตราที่สูงมากคิดเป็นประมาณร้อยละ
32 ของครัวเรือนทั้งหมด โดยร้อยละ 27 เป็นสัดส่วนครัวเรือนที่สามารถหลุดพ้นหรือออกจาก
ความยากจนได้ ในขณะที่ร้อยละ 5 เป็นครัวเรือนที่เข้าสู่ความยากจน ส่วนร้อยละ 30 เป็น
ครัวเรือนยากจนเรื้อรัง จากการทบทวนงานวิจัยล่าสุด โดย Dercon และ Shapiro (2007) ซึ่ง
รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับพลวัตความยากจนของประเทศกำลังพัฒนาไว้ทั้งสิ้นประมาณ 15
26 สถาบันคลังสมองของชาติ