Page 263 -
P. 263
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(macrophage) และ natural killer cell ซึ่งนิวโทรฟิลล์จะทำหน้าที่ในการกินเซลล์
จุลินทรีย์กลุ่มแบคทีเรียที่อยู่ภายนอกเซลล์ ในขณะที่ natural killer cell จะทำการต่อต้าน
เชื้อไวรัสและเชื้อโรคที่อยู่ภายในเซลล์ ส่วนแมคโครฟาร์จจะทำการกินและทำลายเชื้อโรค ใน
ขณะเดียวกันจะหลั่งสารไซโตคายน์ (cytokine) หลายชนิดที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ
(Inflammation) และไซโตคายน์ เหล่านี้จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นการทำงานของระบบ
ภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะเจาะจงต่อไป ระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะเจาะจงนี้แม้ว่าจะเกิดขึ้น
อย่างรวดเร็ว แต่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคต่ำ เนื่องจากเซลล์ที่ทำหน้าที่ในระบบนี้จะ
ไม่สามารถจดจำสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาได้ ร่างกายจะใช้ระบบนี้ในการลดปริมาณของเชื้อโรค
ลงเพื่อชะลอการเข้าทำลายเซลล์ของเชื้อโรค จนร่างกายสามารถพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันแบบ
จำเพาะเจาะจงขึ้นซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานดีกว่า
2. ระบบภูมิคุ้มกันโรคแบบเฉพาะเจาะจง เป็นกลไกที่ร่างกายต้องใช้เวลาในการพัฒนาระบบ
อย่างช้า ๆ อาจนานถึงหลายสัปดาห์แต่มีประสิทธิภาพดีกว่า เนื่องจากสามารถลดปริมาณเชื้อ
โรคได้อย่างรวดเร็วจนอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อตัวสัตว์ ระบบภูมิคุ้มกันแบบนี้มีความ
ซับซ้อนในการทำลายเชื้อโรค เซลล์ที่ทำงานได้แก่ ลิมโฟไซท์ชนิดทีและบีเซลล์ (T และ B
cell) ซึ่งมี receptor มากมายทำให้สามารถจับกับสิ่งแปลกปลอมได้หลายชนิด อีกทั้งยัง
สามารถจดจำสิ่งแปลกปลอมได้ เมื่อสัตว์ได้รับเชื้อชนิดเดิมอีก ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนอง
อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทีและบีเซลล์จะถูกสร้างที่ไขสันหลัง แต่มีการ
พัฒนาและกลไกในการทำงานที่แตกต่างกัน โดยทีเซลล์จะพัฒนาในต่อมไทมัส (thymus
gland) ซึ่งมีกลไกในการทำลายเชื้อโรคโดยตรง ส่วนบีเซลล์จะพัฒนาใน bursa of fabricius
ของสัตว์ปีกหรือ Peyer’s Patches ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะทำการกระตุ้นให้เซลล์พลาสม่า
ผลิตแอนติบอดี (antibody) ชนิดต่าง ๆ เพื่อจับกินเชื้อโรคหรือแอนติเจน ระบบภูมิคุ้มกันนี้
สามารถแบ่งกลไกการทำงานออกเป็น
อาหารกับระบบภูมิคุ้มกันโรค 260