Page 53 -
P. 53

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



                                                           คำนำ

                      พื้นที่ทำการเกษตรที่ปนเปื้อนแคดเมียมในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
               กิจกรรมของเหมืองแร่ทำให้เกิดการปนเปื้อนของแคดเมียมในดิน  มีการสำรวจเบื้องต้นเกี่ยวกับการปนเปื้อนของธาตุโลหะ
               หนักในประเทศไทย พบว่าแคดเมียมเป็นหนึ่งในธาตุที่สะสมอยู่ในดินและผลผลิตของพืชค่อนข้างสูงจนอาจส่งผลกระทบ
               ต่อคุณภาพของดินและคุณภาพของผลผลิตพืชที่เป็นอาหาร (พิชิตและสุรสิทธิ์, 2542) และจากการเก็บตัวอย่างดิน
               และเมล็ดข้าวในพื้นที่ปลูกข้าวที่ปนเปื้อนแคดเมียมสูง เป็นพื้นที่เฉพาะแห่งที่มีการสลายตัวของสังกะสี พบว่า ความเข้มข้น
               ของแคดเมียมในตัวอย่างดินอยู่ในช่วง 3.77-284.8 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และมีปริมาณสะสมในเมล็ดข้าวอยู่ในช่วง
               0.05- 4.38 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (พิชิตและคณะ, 2546) ซึ่งแคดเมียมในตัวอย่างดินเกินเกณฑ์มาตรฐานที่อนุญาตให้พึงมี
               ได้ในดินทำการเกษตรคือ 3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ปรีดาและคณะ, 2541) และปริมาณแคดเมียมในข้าวสูงกว่าเกณฑ์
               มาตรฐานของ Codex ที่ยอมให้ปนเปื้อนในเมล็ดข้าวไม่เกิน 0.4 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม การบริโภคข้าวที่มีแคดเมียม
               ปนเปื้อนอยู่ อาจทำให้เป็นโรคเรื้อรังหรือเฉียบพลัน เช่น โรคอิไต-อิไต (Hagino, 1968; Yoshioka, 1964)
                      แนวทางหลักสำหรับการบำบัดหรือฟื้นฟูพื้นที่ที่ปนเปื้อน แบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ การบำบัดในพื้นที่ (In situ)
               และการบำบัดภายนอกพื้นที่ (Ex situ) (Peng et al., 2009) การบำบัดดินในพื้นที่ปนเปื้อนมีจุดประสงค์ในการเพิ่มความ
               คงสภาพของสารมลพิษ มีข้อดีคือ กระบวนการบำบัดไม่ยุ่งยากและใช้ต้นทุนค่อนข้างต่ำ แต่มีข้อเสียเนื่องจากเป็นเพียง
               การเปลี่ยนแปลงสภาพการละลายของสิ่งปนเปื้อนให้อยู่ในรูปที่มีการละลายต่ำ และไม่ปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม จึงไม่ได้

               เป็นการกำจัดอย่างแท้จริง และอาจมีการปลดปล่อยสู่สภาพแวดล้อมอีกครั้งเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ส่วนการ
               นำดินออกไปบำบัดนอกพื้นที่ปนเปื้อน เป็นการสกัดหรือแยกสารมลพิษออกด้วยวิธีทางเคมี ทางกายภาพหรือทางชีวภาพ
               โดยมีข้อดีคือ สามารถกำจัดโลหะหนักที่เคลื่อนย้ายได้ง่ายออกเกือบทั้งหมด แต่มีข้อเสียคือ เรื่องต้นทุนที่สูง ซึ่งไม่
               เหมาะสมกับพื้นที่ปนเปื้อนที่มีพื้นที่บริเวณกว้าง การใช้วัสดุปรับปรุงดินโดยส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการลดการแพร่กระจาย
               ของแคดเมียมโดยการลดการเคลื่อนย้าย (immobilization) โดยกระบวนการดูดซับ (absorption) กระบวนการ
               ตกตะกอน (precipitation) หรือการเปลี่ยนสภาพเป็นรูปของแข็ง (solid-phase transformation) กับวัสดุปรับปรุงดิน
               ตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดเป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่ทำให้แคดเมียมอยู่ในรูปที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
               วัสดุปรับปรุงดินที่ใช้มีหลายชนิด เช่น วัสดุฟอสฟอต (อะพาไทต์ หินฟอสเฟต ปุ๋ยฟอสเฟตและกรดฟอสฟอริก) (Nzihou
               and Sharrock, 2010) ปูนขาว (Gray et al., 2006) อินทรียวัตถุ (Park et al., 2011) และแร่ซีโอไลต์ (Friesl et al.,
               2003) ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายและราคาไม่สูงมากนัก โดยการใช้วัสดุดังกล่าวเหล่านี้เพื่อปรับปรุงสภาพดินปนเปื้อนถือเป็น
               วิธีทางเลือกที่เป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติ
                     ดังนั้นจึงได้ทำงานวิจัยนี้เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการลดการดูดซึมธาตุแคดเมียมของข้าวในพื้นที่ตำบล
               พระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียมในดิน เพื่อความปลอดภัยของ

               ผู้บริโภคข้าวและเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการปนเปื้อนของแคดเมียมในดินและข้าวต่อไป
                                                        วิธีดำเนินการ
               อุปกรณ์
                   1.  เมล็ดข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105
                   2.  แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO)
                   3.  ปุ๋ยเคมี ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) และปุ๋ยสูตร 16-20-0

                   4.  กระถางทดลองขนาด 14 นิ้ว
                   5.  อุปกรณ์เก็บตัวอย่างดินและตัวอย่างพืช
                   6.  สารเคมี อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ตัวอย่างดินและพืช




                                                           45
   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57   58