Page 7 -
P. 7

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



                                                                                                         7





                    เฉลี่ยที่ 7 ไร่ และมีแรงงานเกษตรเฉลี่ยที่ 2 คนต่อครัวเรือน  ส่วนมากเกษตรได้รับการอบรมจากภาค


                    ส่วนต่างๆ อาทิ การใช้สารเคมีการเกษตร เกษตรอินทรีย์ เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรปลอดสาร การทําปุ๋ ย

                    หมัก  การปลูกพืชสวนครัว การปลูกพืชเศรษฐกิจ ที่น่าสนใจคือเสียงสะท้อนกระบวนการอบรมโดย

                    ภาครัฐบางโครงการที่ไม่มีความต่อเนื่องและไม่สามารถต่อยอดนําไปปฏิบัติได้จริง ทําให้มีหลาย

                    โครงการอบรมที่เข้ามาให้ความรู้กับเกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งโครงการที่เชิญเกษตรกรไปอบรมนอก

                    พื้นที่ แต่ส่วนมากไม่สามารถที่นํามาปฏิบัติได้จริงเนื่องจากบริบทแต่ละพื้นที่แตกต่างกันรวมถึงไม่มี

                    การติดตามผลการดําเนินงาน



                         ปัจจัยที่สําคัญที่สุดสามอันดับแรกในการตัดสินใจเลือกประเภทของพืชที่ปลูกของเกษตรกรคือ

                    ราคาตลาดของพืชผลชนิดนั้น (ร้อยละ 51.2) การปลูกพืชตามเพื่อนบ้านที่ประสบความสําเร็จ (ร้อยละ

                    17.9) และปริมาณนํ้าที่สามารถใช้ได้ในรอบปีนั้นๆ (ร้อยละ 12.7)  เรียงตามลําดับ สําหรับการจัดการนํ้า

                    ในไร่นานั้น การขุดบ่อนํ้าของตนเองเพื่อกักเก็บนํ้าในฤดูฝนหรือจากนํ้าบาดาล (ร้อยละ 38.2)  เป็น

                    วิธีการจัดการนํ้าที่เกษตรกรกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะสมมากที่สุดในการจัดการนํ้าในไร่นา

                    ของตนเอง แต่ทว่าการขุดบ่อนํ้าเพื่อนํานํ้าบาดาลมาใช้นั้นยังมีข้อจํากัดของลักษณะพื้นที่ รองลงมาคือ

                    การทําร่องชลประทานหรือการยกร่องให้สูงขึ้น (ร้อยละ 26.9)   ซึ่งการทําร่องชลประทานนี้ไม่นิยมทํา

                    บนพื้นที่สูงชันในเขตนี้ นอกจากนั้นการปลูกพืชที่ใช้นํ้าน้อย (ร้อยละ 18.5) ก็เป็นที่นิยม จะเห็นได้ว่า

                    วิธีการจัดการนํ้าในไร่นาที่นิยมของเกษตรกรนั้นจะเป็นวิธีการที่ง่าย ลงทุนไม่มากนักและสามารถ


                    จัดการเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ไม่ต้องใช้แรงงานในการจัดการดูแล ซ่อมบํารุงมากนักซึ่งสอดคล้องกับการ

                    จัดการแรงงานในการทําการเกษตรที่มีน้อยในแต่ละครัวเรือน


                         เกษตรกรกว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างยังทําการเกษตรเคมีในการผลิตเพื่อจําหน่ายและบริโภคใน

                    ครัวเรือน (ร้อยละ 53)  แม้ว่าจะมีการทําเกษตรปลอดสารเพื่อบริโภคในครัวเรือนอยู่บ้าง (ร้อยละ 28)  มี


                    เพียงร้อยละ 19 เท่านั้นที่เริ่มหันมาสนใจแนวทางการทําการเกษตรแบบยั่งยืนอย่างจริงจัง โดยเกษตรกร

                    ให้เหตุผลว่าการทําเกษตรยั่งยืน /เกษตรอินทรีย์ต้องใช้แรงงานและความอดทน อุตสาหะมากกว่าเกษตร

                    เคมี (ร้อยละ 53.5)  และทําให้รายได้ทางการเกษตรลดลง (ร้อยละ 14.4) รวมทั้งการขาดช่องทาง

                    การตลาดเพื่อจัดจําหน่าย (ร้อยละ 7.4)  ไม่มีนายหน้ามารับซื้อที่แปลง (ร้อยละ 5.4)   และมีความยุ่งยาก

                    ในการรับรองผลิตภัณฑ์เรียงตามลําดับ (ร้อยละ 4.5)
   2   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12