Page 60 -
P. 60

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                                                                                        56






                     5.4 สมมุติฐานไลยออน


                               ในคนและสัตวเลี้ยงลูกดวยน้ํานมมีกลไกการปรับระดับของยีน (dosage compensation)

                     แบบหนึ่งที่ทําใหโครโมโซมเพศ-เอกซแทงหนึ่งในจํานวน 2 แทงในเพศเมียปกติ (XX) ไมทําหนาที่
                     ซึ่งกลไกอันนี้สามารถอธิบายไดโดยอาศัยสมมุติฐานไลยออน (Lyon hypothesis) หรือสมมุติฐานการ

                     มีโครโมโซมเพศ-เอกซแทงเดียวที่ทําหนาที่ (single active X hypothesis) Lyon (1962) เปนผูเสนอ

                     สมมุติฐานนี้จากการศึกษาเกี่ยวกับยีนควบคุมลักษณะสีขนในหนู ซึ่งมีตําแหนงอยูบนโครโมโซม-
                     เอกซ โดยยีนดอย y ควบคุมลักษณะขนสีเหลืองกับยีนเดน Y ควบคุมลักษณะขนสีดํา Lyon พบวาหนู

                     ตัวเมียที่มีพันธุกรรมเปน Y/y  เมื่อโตเต็มวัยแลวมีขน 2 สีเปนแบบขนสีเหลืองปนดํา แตไมพบหนู

                     ทดลองตัวผูที่มีขน 2 สีเลย พบแตหนูตัวผูที่มีแตขนสีเหลือง (y/-) หรือไมก็ขนสีดํา (Y/ -) อยางใดอยาง

                     หนึ่งเทานั้น Lyon อธิบายวา ในหนูตัวผู  (XY)  มีโครโมโซม-เอกซเพียงแทงเดียวที่ทําหนาที่ในเซลล
                     ทุกเซลล จึงทําใหมีสีขนตามยีนควบคุมที่อยูบนโครโมโซม-เอกซ ในขณะที่หนูตัวเมีย (XX)

                     โครโมโซม-เอกซทั้งสองแทงจะอยูในสภาพที่ทําหนาที่ (active) อยูชั่วระยะเวลาหนึ่งประมาณ 16 วัน

                     นับตั้งแตเปนไซโกต หลังจากนั้นโครโมโซม-เอกซแทงใดแทงหนึ่งจะไมทําหนาที่ ถาเซลลใด
                     โครโมโซม-เอกซที่ทําหนาที่มียีน y อยูก็จะเจริญแบงเซลลตอไป และกลายเปนกลุมเซลลที่ใหขนสี

                     เหลือง เซลลใดโครโมโซมแทงที่ทําหนาที่มียีน Y ก็จะเจริญตอไปเปนกลุมเซลลที่ใหขนสีดํา จึงทําให

                     หนูตัวเมียที่มียีโนไทปเปนเฮเทอโรไซโกต (Y/y) มีลักษณะขน 2 สีอยูในตัวเดียวกัน นอกจากนี้ Lyon
                     ยังอธิบายตอไปอีกวาโครโมโซม-เอกซแทงที่ไมทําหนาที่จะกลายเปนสวนที่ยอมติดสีเขม ซึ่ง

                     แสดงออกในรูปบารบอดี (barr body) หรือไมตีกลอง (drum stick) ในระยะอินเตอรเฟสของการแบง

                     เซลล ดวยเหตุนี้จํานวนบารบอดีหรือไมตีกลองจึงมีความสัมพันธโดยตรงกับจํานวนโครโมโซม-เอกซ
                     ในเพศเมีย


                     5.5 เซกซโครมาตินหรือบารบอดี


                               Barr และ Bertram (1949) เปนคนแรกที่พบเซกซโครมาติน (sex chromatin) หรือบารบอดี
                     (barr body) ในเซลลประสาทของแมวซึ่งมีความสัมพันธอยางใกลชิดกับปรากฏการณการปรับระดับ

                     ของยีน ในนิวเคลียสของสิ่งมีชีวิตเพศเมียทั้งหมดของคนและสัตวเลี้ยงลูกดวยนมสวนมาก พบวา มี

                     เซกซโครมาตินอยูประมาณ 20 ถึง 95 เปอรเซ็นต แตในนิวเคลียสของสิ่งมีชีวิตเพศผูเหลานี้พบวา มี
                     เซกซโครมาตินอยูนอยมากหรือไมมีเลย  โดยปกติเซกซโครมาตินจะมีตําแหนงอยูใกลกับผนังดานใน

                     ของนิวเคลียสในระยะอินเตอรเฟสของการแบงเซลล แตบางครั้งก็อาจอยูที่ตําแหนงอื่นในนิวเคลียส

                     ขนาดของเซกซโครมาตินประมาณ 0.8 x 1.1 ไมครอน เซกซโครมาตินมีความสัมพันธอยางใกลชิดกับ
                     โครโมโซมเพศ-เอกซ ทุกครั้งที่พบโครโมโซมเพศ-เอกซในแครีโอไทปของสิ่งมีชีวิต จะตองพบบาร

                     บอดีในนิวเคลียสของเซลลที่ระยะอินเตอรเฟส ปกติจะตองมีโครโมโซมเพศ-เอกซอยางนอย 2 แทง
   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65