Page 26 -
P. 26
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
การวิเคราะหทางจลนพลศาสตร 17
ในการสรางกฎอัตราอินทิเกรต จะเริ่มจากกฎอัตราดิฟเฟอเรนเชียล และแกสมการดิฟเฟอ
เรนเชียลโดยใชหลักการทางคณิตศาสตร การแกสมการดิฟเฟอเรนเชียลทางจลนพลศาสตร
โดยทั่วไปอาจทําได 2 รูปแบบที่แตกตางกันจากการกําหนดตัวแปรของความเขมขนในสมการดิฟ
เฟอเรนเชียล คือ
วิธีที่ 1 ใชตัวแปรความเขมขนทั่วๆ ไป เชน [A] เปนความเขมขนของสาร A ที่เวลา t ใดๆ
วิธีที่ 2 ใชตัวแปรในรูปแบบการเปลี่ยนแปลงความเขมขน เชน x เปนความเขมขนของสาร
ตั้งตน A ที่ลดลงที่เวลา t ดังนั้นความเขมขนของสาร A ที่เวลา t เปน [A] – x หรือ a – x เมื่อ [A]
0
0
0
หรือ a เปนความเขมขนของสารตั้งตน A ที่จุดเริ่มตน
0
ดังนั้นความแตกตางของสมการดิฟเฟอเรนเชียลคือรูปแบบของตัวแปร แตความหมายคง
เดิม เชนเดียวกับกฎอัตราอินทิเกรตที่ไดรับหลังจากการแกสมการแลว จะมีความหมายเหมือนกัน
แมวารูปแบบในการคํานวณของวิธีที่ 1 จะดูเหมือนงายตอการคํานวณ แตวิธีที่ 2 เปนวิธีที่นิยม
แพรหลาย เนื่องจากสามารถนําไปประยุกตไดงายกวาในกรณีที่ปฏิกิริยาซับซอนขึ้น เชน ปฏิกิริยาที่
ขึ้นกับสารตั้งตนมากกวา 1 ชนิด เปนตน อยางไรก็ตามในที่นี้จะแสดงการคํานวณทั้งสองวิธีเพื่อ
เปรียบเทียบใหเห็นชัดเจนขึ้น
ในกรณีของปฏิกิริยางายๆ คือ กรณีที่มีสารตั้งตนเพียงชนิดเดียว เชน
′ k
aA ⎯ ⎯→ products
วิธีที่ 1
ใหความเขมขนของสารตั้งตน A ที่จุดเริ่มตนและที่เวลา t ใดๆ = [A] และ [A] ตามลําดับ
0
จากกฎอัตราดิฟเฟอเรนเชียลของปฏิกิริยาอันดับ n คือ
1 d[A]
n
– = k′[A]
a dt
d[A]
เมื่อ k = k′a, จะได – = k [A] n (2.1)
dt
[A] d [A] t
จัดรูปใหมและอินทิเกรต จะได – ∫ n = k∫
dt
[A] 0 [A] 0