Page 104 -
P. 104
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
การเรงปฏิกิริยาแบบเอกพันธุ 95
ตัวอยางปฏิกิริยาการสลายสาร A เปนสาร P จะใชเวลานานมากเมื่อไมมีตัวเรงปฏิกิริยา ดัง
สมการตอไปนี้
A ⎯ slow, ⎯ k unc P (5.3)
⎯
⎯
⎯
⎯→
โดยมีกฎอัตราดังนี้ R unc = k [A] (5.4)
unc
เมื่อ R = อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่ไมมีตัวเรง (uncatalyzed rate)
unc
k = คาคงที่อัตราของปฏิกิริยาที่ไมมีตัวเรง (uncatalyzed rate constant)
unc
[A] = ความเขมขนของสารตั้งตน A
ในกรณีที่มีตัวเรงปฏิกิริยา (C) จะเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้น และอาจเขียนปฏิกิริยาสุทธิที่มีตัวเรง
แบบเอกพันธุในรูปทั่วไปไดดังนี้
A + C ⎯ →⎯ P + C (5.5)
ถากลไกที่คาด มี 2 ขั้นตอนคือ
k
c
A + C ⎯ →⎯ X (5.6)
k
'
c
X ⎯ →⎯ P + C (5.7)
และกําหนดใหขั้นตอนแรกในสมการ (5.6) เกิดชากวาขั้นตอนที่สองในสมการ (5.7) จะได
R c = k [A] [C] (5.8)
c
เมื่อ R = อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่มีตัวเรง (catalyzed rate)
c
k = คาคงที่อัตราของปฏิกิริยาที่มีตัวเรง (catalyzed rate constant)
c
[A], [C] = ความเขมขนของสารตั้งตน A และตัวเรงปฏิกิริยา C ตามลําดับ
ขอสังเกตปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นไดแมไมมีตัวเรงปฏิกิริยา และในกรณีที่มีตัวเรงปฏิกิริยา C
จะเกิดปฏิกิริยาทั้งสองแบบ คือ ปฏิกิริยาที่ไมมีตัวเรงและปฏิกิริยาที่มีตัวเรงดังสมการ (5.3) และ
(5.5) ตามลําดับ ดังนั้นอัตราการเกิดปฏิกิริยา (R) จึงเปนผลรวมของอัตราเร็วของปฏิกิริยาที่ไมมีและ
ที่มีตัวเรงดังสมการ (5.4) และ (5.8) ตามลําดับ คือ
d[A]
R = – = k [A] + k [A][C] (5.9)
c
unc
dt