Page 89 -
P. 89

โครงการรวบรวมและจัดทําวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์





                       สาเหตุที่ผู้สวดทั้ง 2 ท�านองพยายามรักษาระดับเสียงสูงต�่าให้คงที่นั้น อาจเกิดขึ้นจากข้อบังคับ

              ทางศาสนา เพราะจากข้อมูลในพระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปี 2539 พบว่า
              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไม่อนุญาตให้พระภิกษุสวดมนต์เหมือนท�านองการขับร้องหรือร้องเพลง และแสดง

              ผลเสียไว้ 5 ประการ (มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539: 11) คือ:
                       “(1) แม้ตนเองก็ก�าหนัดในเสียงนั้น

                       (2) แม้ผู้อื่นก็ก�าหนัดในเสียงนั้น
                       (3) แม้พวกคหบดีก็ต�าหนิ

                       (4) เมื่อภิกษุพอใจการท�าเสียง ความเสื่อมแห่งสมาธิย่อมมี
                       (5) ภิกษุรุ่นหลังจะพากันท�าตาม”


                       สิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุที่การสวดทั้ง 2 ท�านอง ต้องรักษาระดับเสียงสูงต�่าให้คงที่ แต่เนื่องจากท�านอง
              สวดไม่ได้มีเฉพาะท�านองสังโยคและมคธ ยังมีท�านองอื่นๆ เช่น ท�านองสรภัญญะ ที่เมื่อสังเกตจากการฟังพบ

              ว่ามีท่วงท�านองสูงต�่าคล้ายการขับร้อง แต่ด้วยจุดประสงค์และการได้รับอนุญาตจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
              เป็นการเฉพาะ (มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539: 12) จึงถือว่าท�านองดังกล่าวไม่ใช่การขับร้องเช่นกัน

                       การศึกษาครั้งนี้เป็นการเปิดมุมมองท�านองสวดในแนวสัทศาสตร์และทฤษฎีสัทวิทยาเฉพาะกรณี

              ของ 2 คณะสงฆ์ 2 รูปแบบการสวด ยังไม่อาจกล่าวสรุปได้ว่าจะมีลักษณะการสวดเช่นนี้ทุกวัด เพราะจาก
              การสัมภาษณ์ พระภิกษุต่างยอมรับว่าวัดแต่ละแห่งจะมีท�านองสวดที่ไม่เหมือนกันทีเดียวแม้จะเป็นท�านอง

              เดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาต่อไปว่า ส่วนที่ต่างของแต่ละวัดนั้นอยู่ตรงไหนและโดยภาพรวมนั้นมีความ
              เหมือนกันมากน้อยเพียงใด

































                                                          วารสารมนุษยศาสตร์  ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2554  81
   84   85   86   87   88   89   90   91   92   93   94