Page 174 -
P. 174

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



                                                                 ของประชากรโดยใช้เครื่องหมายโมเลกุล 167
                                                                   บทที่ 7 การศึกษาความแปรปรวน


                     ส�าหรับการสูญหายของอัลลีล (allele loss) สามารถค�านวณได้จากสูตร P = p + q  โดย p
                                                                                      2N
                                                                                           2N
              และ q คือ ความถี่ของอัลลีล ส่วน 2N เป็นจ�านวนอัลลีลที่เกิดขึ้นทั้งหมดในประชากร
                     วิธีการวัดความหลากหลายทางพันธุกรรม มี 2 วิธี คือ การหาความหลากหลายทางพันธุกรรม

              ภายในประชากร (intrapopulation genetic diversity) และการหาความหลากหลายทางพันธุกรรม
              ระหว่างประชากร (interpopulation genetic diversity)

                     1. กำรหำควำมหลำกหลำยทำงพันธุกรรมภำยในประชำกร (intrapopulation genetic
              diversity) อาศัยหลักการเกี่ยวกับจ�านวนของ variant ประกอบด้วย

                        (1)  polymorphism หรือ rate of polymorphism (P)
                                                                           j
                            จากสมการเมื่อก�าหนดให้ q เป็นความถี่ของอัลลีล ส่วน P คือ อัตรา polymorphism
                                                                           j
                                    P = q ≤ 0.95 หรือ P = ≤ 0.99
 52   พันธุศาสตร์ประชา  กรกับการปรับปรุงพันธุ์      j     j

                            ซึ่งค่า P ถือว่ามี polymorphism เมื่อค่าความถี่มีค่าไม่เกินหรือเท่ากับ 0.95 หรือ 0.99
                                    j
                            ซึ่งถ้าค่าความถี่ของอัลลีลมีค่ามากกว่าก็หมายความว่า ไม่มีอัลลีลที่เหมือนกันเลย
    เมื่อมีการผสมพันธุ์กันอย่างสุ่มในประชากร จะมีความถี่ของจีโนไทป์ที่เกิดขึ้นดังนี้
                        (2)  สัดส่วนของ polymorphic loci (proportion of polymorphic loci)
               พ่อ           ค�านวณจากสัดส่วนของจ�านวนเครื่องหมายโมเลกุลที่เกิด polymorphic (n )
                                                                                                    P
                                                                                                 j
                                                                 .                         
                                  .                         

                                                  .                         

                .                            กับจ�านวนเครื่องหมายโมเลกุลที่น�ามาใช้ทั้งหมด (n    ) จากสูตร
 แม่                                                                  total
                                         n
                                    P =   n
     .                            0.1678AABB   0.0944AABb   P j 0.0944AaBB   0.0531AaBb
     .                            0.0944AABb   ͲǤͲͷ͵ͳAAbb  total 0.0531AaBb   0.0299Aabb
                       (3)  Richness of allelic variants (A) พิจารณาจากจ�านวนอัลลีลต่อ locus ซึ่งถ้าจ�านวน
     .                            0.0944AaBB   0.0531AaBb   0.0531aaBB   0.0299aaBb
     .                            0.0531AaBb   0.0299Aabb   0.0299aaBb   0.0168aabb
                            อัลลีลที่เกิดขึ้นมีเพียง 1 อัลลีล ท�าให้ได้ ค่า A - 1 = 0 บ่งบอกว่าในประชากรไม่มี
                            ความแปรปรวนหรือแตกต่างกันเลย แต่ถ้ามีจ�านวนอัลลีลมากจะท�าให้ความแปรปรวน
                               0.1678AABB 0.1887 AABb 0.0531AAbb
 ความถี่ของจีโนไทป์ในรุ่นลูก   =   ในประชากรมีมาก จะได้ diversity = 1 – A
                                                            0.0597Aabb]

                                             0.2123AaBb

                              [0.1887AaBB
                               0.0531aaBB    0.0597 aaBb    0.0168aabb
                       (4)  ค่ำเฉลี่ยของจ�ำนวนอัลลีลจำกหลำย loci (ได้ค่าเฉลี่ยต่อ 1 locus) (average number
 การทดสอบประชากรที่อยู่ในสภาวะสมดุล   of alleles per locus) ค�านวณได้จากสูตร


                                                     K
                                                   1
    นิยมใช้การทดสอบค่าด้วยวิธีไคสแควร์ (Chi-square) จากสูตร  = ∑ n n [ (O i −E i ) 2 ]
                                           n =




                                                2
                                                   K i=1 i=1  E i
                                                        i
 ก าหนดให้           ก�าหนดให้        K    =      จ�านวนเครื่องหมายโมเลกุล หรือจ�านวน loci
                                    n      =      จ�านวนอัลลีลในแต่ละ locus
      =  ค่าไคสแควร์                i
   2
   i =  ค่าที่ได้จากการทดลองของลักษณะที่ i
  O
  E
   i =  ค่าที่คาดหมายของลักษณะที่ i
   n   =  จ านวนลักษณะที่ท าการทดสอบ
    และเมื่อท าการค านวณไคสแควร์แล้วเปรียบเทียบกับตารางไคสแควร์ พบว่า ถ้าประชากรมีค่าไคส
 แควร์ที่น้อยกว่าค่าไคสแควร์ที่เปิดจากตารางแปลว่า ประชากรจะอยู่ในสมดุล
    จากตัวอย่างในประชากรที่มียีนควบคุม 1 ยีน ประกอบด้วยลักษณะที่ปรากฏดอกสีแดง (AA) 20 ต้น
 ดอกสีชมพู (Aa) 70 ต้น และดอกสีขาว (aa) 110 ต้น ท าการตรวจสอบความถี่ของจีโนไทป์ว่าเป็นไปตาม
 ความถี่ของกฎฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กหรือไม่

    ก าหนดให้ p คือ ความถี่ของยีน A และ q คือความถี่ของยีน a


                                                   1
              1                               110+ (70)
          20+ (70)
  ∴ ความถี่ของยีน A =   2   = 0.275 และ ความถี่ของยีน a =   2   = 0.725
             200                                 200
    จากการค านวณจ านวนต้นที่มีจีโนไทป์ตามกฎฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก ซึ่งค านวณความถี่ของยีนได้ดังนี้


                                                          2
 จ านวนต้นที่มีจีโนไทป์ AA ตามค่าที่คาดหมาย   = p   × 200       = (0.275)   × 200
                                  2
   169   170   171   172   173   174   175   176   177   178   179