Page 172 -
P. 172
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
154 กระบวนการควบแน่นและหยาดน ้าฟ้า
6.3 หยาดน ้าฟ้ า (Precipitation)
หยาดน ้าฟ้ า คือ น ้าทุกรูปแบบที่ตกลงมาจากฟากฟ้ า ได้แก่ น ้าฝน ลูกเห็บ น ้าค้าง หมอก
เป็นต้น
6.3.1 ประเภทของหยาดน ้าฟ้ า
ประเภทของหยาดน ้าฟ้ า ซึ่งส่วนใหญ่ก าหนดว่าเป็นฝนนั้นจ าแนกตามสภาพการ
เกิดฝนได้ 4 สาเหตุ ดังนี้
1. ฝนที่เกิดจากแนวปะทะอากาศร้อน (Warm Front Precipitation)
ฝนประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่ออากาศร้อนเคลื่อนที่ทาบบนอากาศเย็น (ความลาดชัน
ของบริเวณปะทะประมาณ 1 : 500 ถึง 1 : 1,000) ท าให้เกิดเมฆก่อตัวเป็นแนวจากระยะไกลสุดเป็น
เมฆชั้นสูงต่อมา เมฆชั้นกลางและเมฆฝน (Nimbostratus) ในที่สุด ฝนประเภทนี้ตกไม่มากและไม่
หนักมาก (low amount and low intensity)
2. ฝนที่เกิดจากแนวปะทะอากาศเย็น (Cold Front Precipitation)
ฝนประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่ออากาศเย็นเคลื่อนที่เข้ามามุดใต้อากาศร้อน ท าให้
อากาศร้อนถูกยกตัวพาไอน ้าขึ้นไปควบแน่นทั้งที่บริเวณแนวปะทะและที่ระดับความสูงที่เหมาะสม
จึงเกิดเมฆก่อตัวในแนวตั้งชนิดคิวมิวโลนิมบัส (Cumulonimbus) ความลาดชันของแนวปะทะ
ประมาณ 1 : 50 ถึง 1 : 100 ปริมาณน ้าฝนพอประมาณ แต่ฝนตกหนักในช่วงเวลาไม่นาน
(Moderately amount and high intensity)
3. ฝนที่เกิดจากการปะทะกับแนวภูเขา (Orographic Precipitation)
เกิดขึ้นเมื่ออากาศซึ่งมีความชื้นและอุณหภูมิสูงถูกพัดพาผ่านแนวภูเขา อากาศ
ชื้นนี้จะถูกยกให้ลอยสูงขึ้นตามสภาพภูมิประเทศ การลอยสูงขึ้นนี้ผนวกกับการเพิ่มเติมความชื้น
ในอากาศจากป่าไม้บริเวณภูเขา ท าให้ไอน ้าอิ่มตัวในระดับไม่สูงมากนัก และการควบแน่นเกิดขึ้น
ได้ง่าย จึงสามารถรวมตัวกันเป็นเมฆฝนตกลงมายังด้านที่ปะทะกับแนวเขาจนเกือบหมด เรียกว่า
ด้านรับลมหน้าเขา (Windward Side) ส่วนที่เหลือเป็นอากาศแห้งและมีอุณหภูมิสูง จึงถูกยกตัวให้
ลอยขึ้นข้ามภูเขา อากาศนี้ไม่มีไอน ้า จึงเป็นอากาศแห้งและร้อน ท าให้สภาพภูมิอากาศด้านหลัง
แนวเขามักจะแห้งแล้งมีฝนตกน้อย เรียกด้านหลังแนวเขา (Leeward Side) เรียกเขตแห้งแล้งว่า
เขตเงาฝน (Rain Shadow)