Page 28 -
P. 28
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
8
เจ้าของมรดกโลกนั้น ๆ ได้โดยชอบธรรม แต่ก็ยังคงให้เป็นผลประโยชน์ของประชาคมระหว่างประเทศ
ในการอนุรักษ์มรดกโลกนั้น ๆ ร่วมกันด้วย คุณค่าของมรดกโลก มีความเป็นคุณ ดังนี้
1. คุณค่าทางรูปธรรม เป็นคุณค่าของมรดกโลกในมิติของความมีมูลค่าและมี
คุณประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ คือ การที่พื้นที่ของประเทศต่าง ๆ ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก ก็
อาจจะน ามาซึ่งชื่อเสียงของประเทศนั้น ๆ และสามารถน าสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวในอันที่จะสร้าง
เสริมเศรษฐกิจและจะน ามาซึ่งการสร้างงานสร้างรายได้สู่ผู้คนในชาติ ตามข้อก าหนดขององค์การ
ยูเนสโก ยังต้องให้ประเทศผู้ที่ครอบครองมรดกโลก มีหน้าที่ต้องบ ารุงและดูแลรักษาความเป็นมรดกโลก
ไว้ ดังนั้น ประเทศที่ครอบครองมรดกโลกจึงต้อง ด าเนินการต่าง ๆ เช่น 1) การดูแลมรดกโลก 2) การ
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิทัศน์มรดกโลก 3) การจัดระเบียบชุมชนและการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ในพื้นที่ที่เป็นอาณาบริเวณที่ตั้งมรดกโลก 4) จัดให้มีการบริการทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและไม่สร้าง
ผลเสียหายต่อความเป็นมรดกโลก 5) ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการในเขตมรดกโลก
6) มีระบบการพัฒนาบุคลากรและบริหารจัดการผู้ดูแลพื้นที่มรดกโลก และ 7) มีการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์ในการเข้าถึง การใช้ และการร่วมดูแลรักษามรดกโลกร่วมกัน ที่กล่าวมาจึงเป็นคุณค่าทาง
รูปธรรม เป็นวัตถุที่จับต้องได้
2. คุณค่าทางนามธรรม เป็นคุณค่าของมรดกโลกในมิติของความมีคุณค่าในทางคุณงาม
ความดีต่อมวลมนุษยชาติ คือ แหล่งมรดกโลกไม่ว่าจะตั้งหรือ ปรากฏอยู่ในพื้นที่ใด ๆ ในโลก ก็คือ
“ความจริง” ที่ปรากฏ ที่เราควรรับรู้และตระหนักต่อบรรพบุรุษที่ได้รังสรรค์และสร้างสรรค์ไว้ในโลก
ควรรักษาผลประโยชน์ของประชาคมระหว่างประเทศในการอนุรักษ์มรดกโลกร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติ
ของบางคนในบางประเทศใช้มรดกโลกเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ซึ่งน ามาสู่ความน่าหดหู่ น่า
เสียใจ น่าละอายใจ ซึ่งเป็นการสร้างกระบวนการคิดที่ผิดให้ลูกหลานมีความจงเกลียดจงชังกัน เกิดความ
ขัดแย้งทั้งภายในและระหว่างประเทศ ในมิตินี้ถือว่ามรดกโลกเป็นโทษต่อมวลมนุษยชาติ แต่ก็เป็นเพียง
บุคคลบางกลุ่มบางพวกที่มองต่างมุมออกไป
การด ารงชีวิตที่เป็นคุณ จึงต้อง “เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง” โดยเริ่มจากตัวของเราเอง
ก่อนเสมอ ทั้ง ๆ ที่เราทราบกันดีอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้น การยึดถือ
การครอบครองที่ไม่รู้จักค าว่า “พอเพียง” จึงเป็นการแสดงออกของความไม่เมตตาต่อกัน การไม่รู้จัก