Page 67 -
P. 67

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                                                                                          46



                   5. เดือนมีนาคม            – ตุลาคม ฉีดสารกําจัดโรคแมลงทุก 15 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

                   6. ฉีดสารเคมีกําจัดวัชพืช เช่น พาราควอต ไกลโฟเซท ประมาณ เดือนละ 1 ครั้ง
                               7. หลังปลูก 4 เดือน เริ่มเก็บผลผลิต เดือนเมษายน – ตุลาคม โดยเกษตรกรจะเก็บเกี่ยว

                 ผลผลิตทุก 15-20 วัน ถ้าเกษตรกรเก็บพริกเขียว หรืออาทิตย์ละครั้งถ้าเกษตรกรเก็บพริกแดง เกษตรกรร้อยละ

                 69.4 จะเก็บพริกเขียว ร้อยละ 21.9 เก็บพริกแดง และร้อยละ 8.8 เก็บพริกเขียวแดงและสีอื่นๆ
                               8. ไถต้นพริกทิ้ง  และปลูกข้าวโพด หรือผักชนิดต่างๆ เช่น กวางตุ้ง คื่นไช่

                               9. เริ่มกิจกรรมในฤดูกาลผลิตต่อไป


                               3) การจัดการผลผลิตพริก
                               จากการรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรกลุ่มตัวอย่าง เกษตรกรทุกรายขายผลผลิตในรูปแบบ

                 พริกสดเขียวหรือแดง โดยไม่มีการแปรรูป ซึ่งจะมีผู้รวบรวมผลผลิตพริกเข้ามารับซื้อที่แปลงปลูกหรือใน

                 หมู่บ้าน/ตําบลของเกษตรกร โดยไม่มีการคัดเกรด/คุณภาพ

                               4) ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และรายได้ของเกษตรกร


                 ผลผลิต ต้นทุนการผลิต และรายได้เป็นปัจจัยสําคัญที่เกษตรกรใช้ในการตัดสินใจว่าจะยังคงทําการผลิตต่อ
                 หรือเปลี่ยนไปทํากิจกรรมการผลิตอื่น เมื่อเปรียบเทียบผลผลิต ต้นทุนการผลิต และรายได้ของเกษตรกรทั้ง 2

                 กลุ่มพบว่า ผลผลิตต่อไร่ของเกษตรกรกลุ่ม  Non-GAP  สูงกว่ากลุ่ม GAP  ประมาณร้อยละ 15.28 (3,212.81

                 และ 2,721.89 บาท) แต่ต้นทุนการผลิตต่อไร่ของเกษตรกรกลุ่ม   GAP กลับตํ่ากว่ากลุ่ม   Non-GAP ประมาณ

                 ร้อยละ 15.60 (29,181.38 และ 34,578.19 บาท) โดยมีค่าปุ๋ ย สารเคมี ตํ่ากว่า กลุ่ม  Non-GAP  ถึงร้อยละ 7.43
                 (15,666.99 และ 11,640.84 บาท) เปรียบเทียบต้นทุนการผลิต ของเกษตรกร 2 กลุ่ม ดังแสดงในแผนภูมิที่ 4-2

                 แม้ว่ารายได้ต่อไร่ของเกษตรกรกลุ่ม  Non-GAP จะสูงกว่ากลุ่ม GAP ประมาณ ร้อยละ 8.91 (40,129.45 และ

                 36,553.07 บาท)

                               อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่รายได้สุทธิแล้วเกษตรกรกลุ่ม  GAP  กลับมีรายได้สุทธิต่อไร่สูงกว่า

                 เกษตรกรกลุ่ม Non-GAP  ถึง ร้อยละ 32.79 เป็นที่น่าสังเกตว่าเกษตรกรกลุ่ม  GAP  มีต้นทุนค่าแรงในการฉีด

                 สารเคมีสูงกว่าเกษตรกรกลุ่ม  Non-GAP  ถึงร้อยละ 59.4 (2,805.90 และ 1,759 บาท) ซึ่งอาจบ่งชี้ให้เห็นถึง
                 ทัศนคติของเกษตรกรกลุ่ม GAP ต่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง และการหันมาใช้สารชีวภาพมากขึ้น ซึ่ง

                 แม้ว่าประสิทธิจะสู้สารเคมีไม่ได้ ทําให้ต้องเพิ่มความถี่ในการฉีดมากกว่าสารเคมี เมื่อพิจารณาต้นทุนการผลิต

                 ของเกษตรกรทั้ง  2  กลุ่ม พบว่า ค่าจ้างเก็บพริก และค่าปุ๋ ย  สารเคมีเป็นต้นทุนสูงมาก และมีค่าใกล้เคียงกัน
                 (ร้อยละ 47.0 และร้อยละ 42.1 กับร้อยละ 39.9 และ 55.3) (ตารางที่ 4-3 แผนภูมิที่ 4-2 และแผนภูมิที่ 4-3)
   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72