Page 3 -
P. 3
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บทสรุปสําหรับผู้บริหาร
ระบบการผลิตพริกปลอดภัยจังหวัดนครปฐม
(Safety Chili Production Systems in Nakhon Pathom Province)
สิรีรัตน์ เชษฐสุมน และสาคร ชินวงค์
Sireerat Chetsumon and Sakhon Chinnawong
งานวิจัยนี้มุ่งศึกษา 1) สภาวการณ์ปัจจุบันในการผลิตและการจัดการของเกษตรกรผู้ผลิตพริกใน
จังหวัดนครปฐม 2 กลุ่ม ได้แก่ เกษตรกรผู้ผลิตพริกภายใต้แผนโครงการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ( Good
Agricultural Practice, GAP) (เกษตรกร GAP) และเกษตรกรผู้ที่ไม่ได้ผลิตภายใต้ระบบ GAP (เกษตรกร
ผู้ผลิตพริกทั่วไป) 2) การได้รับความรู้/เทคโนโลยีและการนําความรู้ที่ได้รับไปใช้ของเกษตรกรทั้ง 2 กลุ่ม
และ 3) ปัญหาและความต้องการของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก และตลาดภายในและต่างประเทศ
และหน่วยงานภาครัฐ
1. สภาวการณ์ปัจจุบันในการผลิตพริกจังหวัดนครปฐม
จังหวัดนครปฐมในพื้นที่อําเภอกําแพงแสน อําเภอเมือง และอําเภอดอนตูม มีกลุ่มชุดดิน ระบบนํ้ามี
ความเหมาะสมในการปลูกพริก เกษตรกรมีการปลูกพริกในระบบการผลิตพริกปลอดภัย (กลุ่ม GAP) และ
การปลูกพริกแบบทั่วไป (กลุ่ม Non-GAP) ระดับการศึกษาและการเป็นสมาชิกกลุ่มทางการเกษตรน่าจะเป็น
ปัจจัยที่ทําให้เกษตรกรยอมรับเทคโนโลยีการผลิตพริกปลอดภัยในระบบ GAP เกษตรกรกลุ่ม GAP มี
ประสบการณ์ในการปลูกพริกนานกว่า (15 ปี และ 13 ปี) มีแรงงานเฉลี่ยใกล้เคียงกัน (2 คน) ซึ่งทําให้
เกษตรกรมีปัญหาด้านแรงงานในการเก็บเกี่ยว โดยเฉลี่ยจะปลูกพริกประมาณ 2.50 ไร่ และเกษตรกรกว่า 1 ใน
3 เช่าพื้นที่ในการเพาะปลูก
ระบบการปลูกและการจัดการผลผลิต
การปลูกพริกของเกษตรกรที่พบในพื้นที่ศึกษามีอยู่ 2 ระบบ คือ 1) ระบบการปลูกพริกหมุนเวียนกับ
การปลูกผักชนิดอื่น (Crop rotation) 2) ระบบการปลูกพริกร่วมกับผักชนิดอื่นในแปลงเดียวกัน ทั้งในระหว่าง
แถวพริก (Intercropping) และหมุนเวียนกับผักชนิดอื่นหลังตัดต้นพริกทิ้ง (Crop rotation) ส่วนใหญ่จะปลูก
ในระยะเวลาใกล้กันในช่วงเดือนมกราคม และขายผลผลิตพริกให้ผู้รวมรวมผลผลิตในหมู่บ้านในเดือน
เมษายน-ตุลาคม เกษตรกรทั้งหมดขายผลผลิตพริกสด โดยไม่มีการแปรรูป โดยมีผู้รวบรวมผลผลิตมารับซื้อที่
แปลงปลูกของเกษตรกร
ผลผลิต ต้นทุนการผลิต และรายได้ของเกษตรกร
ผลผลิตต่อไร่ของเกษตรกรกลุ่ม Non-GAP สูงกว่ากลุ่ม GAP ประมาณร้อยละ 15.28 แต่ต้นทุนการผลิตต่อไร่
ของเกษตรกรกลุ่ม GAP กลับตํ่ากว่ากลุ่ม Non-GAP ประมาณร้อยละ 15.60 โดยมีค่าปุ๋ ย สารเคมี ตํ่ากว่า กลุ่ม