Page 13 -
P. 13

โครงการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี




                           6   สัทวิทยา : การวิเคราะหระบบเสียงในภาษา                                                                                  บทที่ 1   สัทวิทยาเพิ่มพูน

                              1.2  สัทวิทยาเพิ่มพูน  (Generative Phonology)

                                 ในการศึกษาระบบเสียงในภาษา  นักสัทวิทยาจําเปนตองมี “เครื่องมือ”  ที่ใชวิเคราะหระบบเสียง
                           ภาษาเปรียบเสมือนวัตถุดิบที่มีอยู  ทฤษฎีการวิเคราะหภาษาเปรียบเสมือน  “เครื่องมือ”   ที่นํามาใช

                           วิเคราะหระบบตางๆ ของภาษา  ผลการวิเคราะหจะละเอียดถี่ถวนและการวิเคราะหจะมีประสิทธิภาพสูง
                           เพียงใด  ขึ้นอยูกับตัวทฤษฎีที่นักภาษาศาสตรนํามาใช  ทฤษฎีอาจจะมีความแตกตางกันในจุดประสงค
                           ของการวิเคราะหภาษา  ทฤษฎีสัทวิทยาเพิ่มพูนเปนแนววิเคราะหระบบเสียงของภาษาแนวหนึ่งที่ใช

                           ไดผลดี  และใหผลวิเคราะหที่สอดคลองกับความเปนจริงทางจิตวิทยาของผูพูดภาษาแม  (psychological
                           reality of native speakers)


                                 สัทวิทยาเพิ่มพูนพัฒนาตอจากทฤษฎีสัทวิทยาโครงสราง  (Structuralism)    ซึ่งเฟองฟูในยุโรป

                           และอเมริกาในศตวรรษที่ 19  ทฤษฎีโครงสรางตั้งอยูบนฐานของจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม  (Behaviorism)
                           โดยเนนการเรียนรูภาษาในลักษณะการตอบสนองตอสิ่งเราและการเทียบเคียงโครงสราง (analogy)
                           ทฤษฎีเพิ่มพูนมีแนวคิดพื้นฐานมาจากจิตวิทยาปริชาน  (Cognitive psychology )  โดยเนนความสามารถ

                           ทางภาษาที่อยูภายใน (สมอง)  ของผูพูด/ผูฟง  (Mentalist  view)  และพฤติกรรมทางภาษาที่แสดงถึง
                           ความเปนจริงทางจิตวิทยาของผูพูด  (psychological reality)  เอ็ดเวิรด แซปเพียร (Edward  Sapir)  ชาว
                           อเมริกันเปนผูเริ่มศึกษาความเปนจริงทางจิตวิทยาของผูพูดภาษาอินเดียนแดงภาษาซารซี (Sarcee)  ใน

                           ประเทศแคนนาดา  (Kentowicz    1994  :  2-4)    และไดนําเสนอผลการศึกษาในบทความเรื่อง  “The
                           Psychological Reality of Phoneme”

                                  ในป ค.ศ. 1933  แซปเพียร พบวาคํา  2  คําที่พองเสียงกัน [dini]   ‘อันนี้ (this one)’  และ [dini]
                           ‘มันทําใหเกิดเสียง (it makes a sound)’    ผูพูด/ผูฟงภาษาแมสามารถจําแนกความแตกตางได เนื่องจาก

                           คําทั้งสองมีหนวยเสียงที่ตางกันในสมองของผูพูด/ผูฟง  คือ [dini]   ‘อันนี้ (this  one)’    มาจาก /dini/
                           ขณะที่  [dini]  ‘มันทําใหเกิดเสียง (it make sound)’    มาจาก  / dinit /   และหนวยเสียง /t/ ไมปรากฏ
                           เปนเสียงในการพูด  คือถูกลบทิ้งกอนพูดในคําเดี่ยวและจะปรากฏตัวเมื่อมีหนวยคํามาตอทาย

                           เชน  [diniti]  “relative form”  ของ   ‘มันทําใหเกิดเสียง (it makes a sound)’  หนวยเสียง  / t / จึงเปนจริง
                           ในสมองของผูพูด/ผูฟงภาษาแม  แตผูพูด/ผูฟงจะพูดหรือไดยินเสียง / t / หรือไม  ขึ้นอยูกับตําแหนง
                           และบริบทของการใชคําวา  /dinit/  ในภาษา


                                 แนวคิดในเรื่องความเปนจริงทางจิตวิทยาของผูพูดภาษาแม  จึงเปนแนวคิดที่พัฒนามาเปนทฤษฎี
                           เพิ่มพูน โดยจําแนกหนวยเสียงในสมองกับเสียงที่พูดจริงและไดยินจริงและมีกฎเกณฑทางเสียงเชื่อมโยง

                           ระหวางหนวยเสียงและเสียง
   8   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18