Page 20 -
P. 20
โครงการรวบรวมและจัดทําวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
14 วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ในสังคม ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมือง ฯลฯ อย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ควรขยายแง่มุมการพิจารณาเรื่องผลการเปลี่ยนแปลงและดูขบวนการทางสังคมใหม่
เช่น ขบวนการเคลื่อนไหวด้านอัตลักษณ์ต่างๆ ที่อาจจะไม่ได้ผลักดันไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
แต่มีพื้นที่อยู่ในสังคม มุ่งเปลี่ยนความเชื่อและค่านิยมของผู้คนในสังคม ในมิตินี้การศึกษาที่ปรากฏอยู่
อาจจะยังมีน้อยมาก เราควรพัฒนาการศึกษาและการสร้างตัวแปรตัวชี้วัดเพื่อขยายองค์ความรู้ให้กว้าง
ออกไปมากยิ่งขึ้น
ประการที่สาม ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบเพื่อหาบทเรียนบางประการ เช่น เปรียบเทียบหา
ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ (หรือล้มเหลว) เพื่อตอบคำถามว่า ทำไมบางกลุ่มองค์กรเติบโตและมี
พัฒนาการที่ดี สามารถสร้างผลต่อการเปลี่ยนแปลงได้มาก แต่บางขบวนการกลับตกต่ำ ถดถอย หรือล้ม
หายตายจากไปข้อสังเกตคือ มีงานศึกษาไม่มากนัก เพราะเรามักสนใจเฉพาะขบวนการเคลื่อนไหวที่ใหญ่
มีพลังการสร้างอิทธิพล
ประการที่สี่ ในมิติการสร้างอิทธิพลหรือยุทธิวิธีการเคลื่อนไหวผลักดัน การศึกษาโดยอาศัย
กรอบกลุ่มผลประโยชน์ที่ผ่านมามักจะกล่าวเพียงให้เห็นแต่ภาพด้านกว้างของกลุ่มผลประโยชน์ที่ศึกษา
หรือว่าผู้นำของกลุ่มมีความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองหรือรัฐบาลอย่างไร แต่ไม่มีงานที่
ให้ภาพในเชิงลึกว่า มีการใช้วิธีการอย่างไรในการล็อบบี้ (ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงข้อมูล)
หากเทียบเคียงกับงานของนักวิชาการต่างประเทศ (เช่น Nownes, 2013) ได้ศึกษาให้เห็นการ
ล็อบบี้ในช่องทางต่างๆ ทั้งรัฐบาล รัฐสภา และศาล แต่งานในสังคมไทยยังสนใจแต่เฉพาะฝ่ายบริหาร
เท่านั้น ซึ่งควรขยายพื้นที่การศึกษาออกไป ในช่วงหลังการปฏิรูปการเมืองนับแต่รัฐธรรมนูญ 2540
เป็นต้นมา ในสังคมการเมืองไทยเกิดสถาบันและองค์กรทางการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรอิสระต่างๆ
ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากแต่ไม่มีงานศึกษาที่ดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มพลังทางสังคมการเมืองกับองค์กร
เหล่านี้เลย
นอกจากนี้ ในบริบทซึ่งมีการเติบโตขึ้นของพื้นที่สื่อหรือพื้นที่ทางสังคมต่างๆ อย่างกว้างขวาง
การศึกษาการสร้างอิทธิพล ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวกลับไม่ค่อยให้ความสนใจในพื้นที่เหล่านี้ การศึกษา
ขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนและขบวนการคนจน ยังให้ความสนใจแต่การเดินขบวนและ
ชุมนุมประท้วงเป็นมิติหลัก ซึ่งควรจะมีการศึกษาเพื่อให้เห็นพลวัตของการสร้างพลังที่สัมพันธ์กับบริบท
ทางเศรษฐกิจ-การเมืองและสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างมาก
ประการที่ห้า ควรศึกษาฝ่ายต่อต้านขบวนการ ฝ่ายปรปักษ์ หรือกลุ่มซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้าม รวม
ทั้งการศึกษาด้านรัฐ ท่าทีรัฐและการปราบปรามของฝ่ายรัฐทั้งๆ ที่การทำความเข้าใจในมิติดังกล่าวนี้มี
ความสำคัญต่อการเป็นบทเรียนสำหรับขบวนการเคลื่อนไหวเป็นอย่างมาก
ประการที่หก ควรมีการศึกษาเชิงปริมาณในแง่มุมของการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปร มีการศึกษาโดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อให้ได้คำตอบในภาพรวม/ภาพด้านกว้างหรือ
การอธิบายระดับประชากรแทนที่จะศึกษาในลักษณะแค่กรณีศึกษาดังที่นิยมกัน