Page 18 -
P. 18

โครงการรวบรวมและจัดทําวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


           12     วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์



           แตกต่างกันอย่างไร (จุดหมาย โครงสร้างองค์กร ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวหรือการสร้างพลัง/อิทธิพล ฯลฯ
           ดูตารางเปรียบเทียบ) กล่าวคือ ขบวนการทางสังคมหมายถึง การรวมตัวกันของประชาชนเพื่อกระทำการ
           ร่วมหมู่โดยมีจุดหมายที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคม  ระบบคุณค่า  ความเชื่อ  หรือมุ่ง
           เปลี่ยนในเชิงโครงสร้าง ในขณะที่การเมืองแบบกลุ่มผลักดันมีจุดหมายอยู่ที่การต่อรองเรียกร้องเพื่อให้ได้
           มาซึ่งผลประโยชน์เฉพาะของกลุ่มหรือการผลักดันในระดับนโยบายสาธารณะ  ซึ่งมีลักษณะเฉพาะและ

           แคบระดับกลุ่ม  แต่ขบวนการทางสังคมมีระดับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือวงขอบระดับสังคม
           ส่วนในด้านยุทธวิธีการเคลื่อนไหวผลักดันเพื่อการเปลี่ยนแปลงนั้น  ขบวนการทางสังคมเป็นการสร้างพลัง
           โดยไม่ผ่านระบบการเมืองปกติ หรือไม่ได้อาศัยช่องทางการล็อบบี้ มีพื้นที่อยู่ “ภายนอก” ระบบการเมือง

           ปกติ  และลักษณะด้านองค์กรขบวนการทางสังคมมักมีโครงสร้างแบบเครือข่ายหลวมๆ  มากกว่าเป็น
           องค์กรแบบทางการที่มีลำดับชั้น
                    อย่างไรก็ดี  การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างลักษณะของกลุ่มแบบกลุ่มผลประโยชน์กับ
           (กลุ่มที่เรียกว่า)  ขบวนการทางสังคม  ดังที่พิจารณามานั้นอาจจะทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้นหากเราพิจารณา
           ในมิติของกรอบในการวิเคราะห์การเมืองแบบกลุ่ม  การมองความแตกต่างในฐานะกรอบการวิเคราะห์จะ

           ช่วยให้เกิดการตั้งคำถามว่า  กรอบการวิเคราะห์กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มผลักดันมีปัญหาอย่างไร  มี
           ความไม่เพียงพออย่างไร เหตุใดจึงเกิดกรอบการวิเคราะห์แบบขบวนการทางสังคมขึ้นมา ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
           การศึกษาที่ผ่านๆ  มา  เรามักให้ความสนใจที่มุ่งไปยังการพิจารณาความแตกต่างในมิติของลักษณะกลุ่ม

           เช่นการตั้งคำถามว่า ขบวนการทางสังคมเก่าแตกต่างไปจากขบวนการทางสังคมใหม่อย่างไร อะไรใหม่ใน
           ขบวนการทางสังคมใหม่ ซึ่งทำให้การศึกษาวิจัยก็มุ่งไปในทิศทางเช่นนี้ กล่าวคือ ทำให้การศึกษาเป็นเพียง
           การพรรณนาหรือบรรยายลักษณะของการรวมกลุ่มก้อนเท่านั้น  หรืออย่างมากก็เปรียบเทียบให้เห็น
           หน้าตาที่แตกต่างกันไป
                       หากเรามองในฐานะกรอบการวิเคราะห์จะนำมาสู่การสร้างองค์ความรู้อีกแบบหนึ่งซึ่งผู้เขียน

           เห็นว่าน่าจะนำไปสู่ประเด็นการวิจัยใหม่ๆ และหาคำตอบในลักษณะของการสร้างทฤษฎีได้มากยิ่งขี้น เช่น
           การตั้งคำถามว่า  เหตุใดจึงเกิดกลุ่มทางสังคมการเมือง  มีเงื่อนไขปัจจัยอย่างไร  ฯลฯ  การตอบคำถามดัง
           กล่าวนี้กรอบการวิเคราะห์การเมืองแบบกลุ่มผลประโยชน์ให้คำตอบที่จำกัดมาก  เพราะอธิบายการเกิด

           กลุ่มแบบอัตโนมัติ  กล่าวคือ  มองว่าหากผู้คนมีผลประโยชน์  มีความต้องการเดียวกันก็จะมารวมตัว
           กันเองเพื่อสร้างอิทธิพลต่อรองให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์  มองในแง่นี้กรอบการวิเคราะห์ขบวนการทาง
           สังคมพยายามตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็น  “ผู้รับประโยชน์โดยไม่ลงแรง”  (free  rider)  ทฤษฎีการระดม
           ทรัพยากรจึงเป็นการอุดช่องโหว่ในการอธิบายดังกล่าวนี้  งานของ  Mc  Carthy&Zald(1977)  เรื่อง
           “Resource  Mobilization  and  Social  Movements:  A  Partial  Theory”  ได้สะท้อนให้เห็นชัดว่า

           ทฤษฎีดังกล่าวนี้เป็นทฤษฎีบางส่วน (ของทั้งหมด) ทฤษฎีขบวนการทางสังคมจึงพยายามที่จะอุดช่องการ
           อธิบายในลักษณะของการสร้างทฤษฎี  (ไม่ใช่มุ่งแค่อธิบายลักษณะความแตกต่างของการรวมกลุ่ม
           ประเภทต่างๆ ) จากประสบการณ์ของผู้เขียนจึงอยากตั้งข้อสังเกตว่า เราละเลยที่จะมองมิติของทฤษฎีใน

           แง่ที่เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อช่วยกันตอบคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองผ่าน
           การเมืองเรื่องกลุ่ม
   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23