Page 274 -
P. 274
โครงการรวบรวมและจัดทําเอกสารวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วารสารมนุษยศาสตร์ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2560) 255
พร้อมใจกันอุปถัมภ์ค ้าชูให้เปนเจ้าแผ่นดินนั้นไป ด้วยว่าความที่
ได้เปนเจ้าแผ่นดินเพราะท่านผู้หลักผู้ใหญ่ค ้าชูอุดหนุนนั้น รู้อยู่
แก่ตา เห็นอยู่แก่ตาของคนเปนอันมากตรงๆ ไม่อ้างว่าอ านาจ
เทวดาแล้ว (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อ้างใน อรรถจักร์
สัตยานุรักษ์, 2555, น. 38)
ความหมายคือ รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่า ที่พระองค์ได้เป็นกษัตริย์นั้นเป็น
เพราะขุนนางผู้ใหญ่ต่างหากที่ท าให้พระองค์ได้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งก็หมายความ
ว่า ขุนนางผู้ใหญ่เป็นชุมชนทางการเมืองนั่นเอง นั่นคือพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลง
ค าอธิบายเดิมและเปลี่ยนแปลงใหม่ จากเดิมที่เชื่อว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็น
พระโพธิสัตว์ซึ่งก าลังสั่งสมบุญบารมี ทรงปฏิเสธคติเทวสิทธิ์” ซึ่งจะท าให้พระองค์มี
อ านาจในตัวเอง มาเป็น “พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเป็นมนุษย์” และ “ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ท่าน
พร้อมใจกันอุปถัมภ์ค ้าชูให้เปนเจ้าแผ่นดิน” (อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, 2555, น. 38-40)
5. ข้ออ้าง: กษัตริย์ขึ้นครองราชย์จากหลักการ “อเนกนิกรสโมสร
สมมติ”
ตามลัทธินิยมของไทยนั้น พระเจ้าแผ่นดินเสวยราชสมบัติโดย
ประชาชนเลือกตั้ง ดังมีความปรากฏในพระบรมนามาภิไธยของ
พระเจ้าแผ่นดิน... ในพระบรมนามาภิไธยของพระพุทธเจ้าหลวง
ยังมีความชัดอยู่ว่าอเนกชนนิกรสโมสรสมมต ซึ่งแปลว่า โดย
ประชาชนเลือกตั้ง... (ม.จ.วรรณไวทยากร วรวรรณ, 2475 อ้างใน
ณัฐพล ใจจริง, 2556, น. 79)
ข้ออ้างดังกล่าวนี้เป็นข้ออ้างของนักประวัติศาสตร์และปัญญาชนนักคิด
นักเขียนส านักจารีตประเพณี ที่อ้างว่า “ที่มาของอ านาจ” คือ พระมหากษัตริย์ไทย
ทรงขึ้นครองราชย์โดย “ความเห็นชอบของชุมชนการเมือง” หลักการดังกล่าวเรียกว่า
หลักการ “อเนกนิกรสโมสรสมมติ” เพื่อสร้างความหมายว่าประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งใหม่
แต่มีอยู่แล้วในสังคมไทยแต่เดิม การอ้างดังกล่าวนั้นคล้ายคลึงกับการอ้างของ พระยา