Page 20 -
P. 20
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บทที่ 1
บทน ำ
1.1 ที่มำและควำมส ำคัญ/หลักกำรและเหตุผล
ไหมเป็นเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากรังที่ห่อหุ้มดักแด้ไหม โดยไหมที่คนเราทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่ไหม
หม่อน (mulberry silkworm, Bombyx mori) ซึ่งกินใบหม่อนเพียงชนิดเดียวเป็นอาหาร มนุษย์น าเส้น
ใยไหมหม่อนมาท าเครื่องนุ่งห่มยาวนานกว่า 4,000 ปี โดยไหมหม่อนมีคุณลักษณะความเงาแวววาว เนียน
เรียบและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เป็นที่ต้องการของตลาดและราคาสูง แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่สามารถ
เลี้ยงไหมหม่อนจนครบวงจรชีวิตได้ นอกจากไหมหม่อนไหมแล้วยังมีไหมป่าที่ให้เส้นใยมาใช้ประโยชน์ท า
เครื่องนุ่งห่ม และไม่ใช้ใบหม่อนเป็นอาหาร (wild silkworm หรือ non-mulberry silkworm) อีก 8
ชนิด ได้แก่ Antheraea pernyi, A. yamamai, A. proylei, A. assamensis, A. mylitta,
A. paphia, Philosamia (Samia ricini) และ P. cynthia แต่มีเพียง 3 ชนิดคือ ไหมทาซาร์ (tasar
silkworm, A. mylitta และ A. proylei) ไหมมูก้า (muga silkworm, A. assamensis) และไหมอีรี่ (Eri
silkworm, Samia ricini) โดยไหมเหล่านี้มีการเลี้ยงเป็นอาชีพในประเทศต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย
และเกาหลี เป็นต้น แต่ไหมอีรี่เป็นไหมป่าเพียงชนิดเดียวที่มนุษย์สามารถเลี้ยงได้ครบวงจรชีวิตอย่าง
สมบูรณ์ ส่วนไหมมูก้าและไหมทาซาร์นั้น ในบางช่วงของวงจรชีวิตต้องปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ เช่น
ในช่วงผสมพันธุ์ต้องเอามาปล่อยไว้บนต้นพืชอาหาร มิฉะนั้นผีเสื้อจะไม่ยอมผสมพันธุ์ ท าให้ยากต่อการ
ผลิต (ทิพย์วดี และคณะ, 2555)
ประเทศไทยเริ่มเลี้ยงไหมอีรี่ในปี พ.ศ. 2517 โดยกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ ซึ่งได้ศึกษาวิจัยและรักษาพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัยพริ้ว จังหวัดจันทบุรี (พิสิษฐ์ และเตือนจิตต์ 2520)
ต่อมาโครงการวิจัยเกษตรที่สูงเพื่อหาอาชีพเสริมให้ชาวเขาทดแทนการปลูกฝิ่น ได้น าไหมอีรี่ขึ้นไปเลี้ยงบน
ดอยอ่างขางและดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสามารถเลี้ยงได้ดี แต่ก็เลี้ยงไม่ได้ตลอดปี เนื่องจากอากาศที่
หนาวเย็นจัด (Wongtong et. al.,1980) ในปี พ.ศ.2533 โดยการสนับสนุนของ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศาสตราจารย์ ดร. สุธรรม อารีกุล ส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรี่ให้กับเกษตรกรผู้
ปลูกมันส าปะหลังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เนื่องจากไหมอี่รี่เป็นไหมที่กินใบมันส าปะหลัง
และใบละหุ่งเป็นอาหาร และมนุษย์สามารถเลี้ยงได้ครบวงจรชีวิตอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งโปรตีนจากไหมอีรี่
ยังมีค่าสูงถึงร้อยละ 66-67 ในขณะที่ไหมหม่อนมีเพียงร้อยละ 54-55 ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นแหล่ง
โปรตีนที่ส าคัญทดแทนโปรตีนจากสัตว์ได้