Page 159 -
P. 159

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


                                                                                                      13-38



                   มาก  สมควรน าฟางข้าวและซังข้าวโพดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในท านองเดียวกับประเทศญี่ปุ่น  จึงขอให้

                   กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                   กระทรวงอุตสาหกรรม  และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาและก าหนดแนวทางการพัฒนาและน า

                   เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาใช้กับฟางข้าวและซังข้าวโพดให้เกิดประโยชน์และมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ ใน

                   ส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ  ให้ถือว่าเป็นภารกิจพิเศษที่ทางกระทรวงจะต้องเร่งรณรงค์
                   ด าเนินการให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปเปลี่ยนค่านิยมและความเข้าใจเกี่ยวกับผลร้ายของการเผาท าลาย

                   วัสดุดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม  โดยอาจใช้เงินกองทุนโครงการสิ่งแวดล้อมเพื่อการนี้ต่อไป  และโดยที่
                   ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตยาง

                           วันที่ 30 ธันวาคม 2546  คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการให้

                   ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย โดยให้กองทุนอ้อยและน้ าตาลทรายกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตร
                   และสหกรณ์การเกษตร  (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน 3,900 ล้านบาท เพื่อน าไปเพิ่มค่าอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี

                   2546/2547 ให้กับชาวไร่อ้อยอีกตันอ้อยละ 53 บาท  โดยมีแหล่งที่มาของรายได้ส าหรับน าไปช าระหนี้และ
                   หลักเกณฑ์ เพื่อเป็นหลักประกันในการช าระหนี้เงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส. เพิ่มเติมจากเดิม ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า

                   การให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยโดยการกู้ยืมเงินจาก  ธ.ก.ส. เพื่อน าไปเพิ่มราคาอ้อยนั้น เป็น

                   การแก้ไขปัญหาแบบตั้งรับ ซึ่งเกิดขึ้นแทบทุกฤดูการผลิต เป็นผลให้กองทุนอ้อยฯ มีหนี้สะสมกับ ธ.ก.ส. แล้ว
                   รวมมากกว่า 15,000 ล้านบาท  สมควรที่จะต้องแก้ไขปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้มีประสิทธิภาพและ

                   ครบวงจรมากยิ่งขึ้น  โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาทบทวน  และปรับปรุงแนวทางการเพิ่ม

                   ผลตอบแทนการเพาะปลูกอ้อย  ตลอดจนระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ าตาล
                   ทรายทั้งระบบให้เหมาะสมเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  และควรตรวจสอบและ

                   ควบคุมโควตาน้ าตาล

                           วันที่ 13 มกราคม 2547  คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
                   เสนอโครงการแปลงสวนยางเป็นทุน  โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ  เพื่อแปลงไม้ยางของ

                   เกษตรกรที่อยู่ในเขตป่าสงวน และของเจ้าของสวนยางสงเคราะห์เป็นทุน และเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ยาง และ
                   อุตสาหกรรมไม้ยางโดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 529,985 ราย ใน 17 จังหวัด พื้นที่สวนยาง 6,947,931 ไร่

                   แยกเป็นเกษตรกร 43,225 ราย  พื้นที่ปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้

                   รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ  1,002,100ไร่ และเจ้าของสวนยางสงเคราะห์ 486,760 ราย ที่ต้นยางพารามีอายุ
                   กว่า 15 ปี พื้นที่ 5,945,831 ไร่ โดยเกษตรกรดังกล่าวสามารถเข้าสู่แหล่งทุนได้และสามารถเพิ่มปริมาณไม้ยาง

                   แปรรูปจากปัจจุบันปีละ  6.91 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 15.67 ล้านลูกบาศก์เมตรได้ในปี พ.ศ. 2553  และให้
                   ด าเนินการต่อไปได้  โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ

                   กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ด าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2546

                   เรื่อง  โครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่งปลูกยางใหม่  ให้ได้ข้อยุติ
                   และความเห็นของคณะกรรมการอ านวยการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (อปท.) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ไป
   154   155   156   157   158   159   160   161   162   163   164