Page 21 -
P. 21
โครงการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
14 สัทวิทยา : การวิเคราะหระบบเสียงในภาษา บทที่ 2 เสียงพยัญชนะ
2.3 ลักษณะการออกเสียง (Manner of Articulation)
ลักษณะของเสียงเกิดจากการที่ฐานกรณเคลื่อนที่เขาหากันในลักษณะตางๆ ทําใหเกิดการสกัด
กั้นลมที่ผานฐานกรณนั้นๆ ในลักษณะตางๆ กัน กอใหเกิดเสียงชนิดตางๆ ดังปรากฏในภาษาตางๆดังนี้
2.3.1 เสียงกัก (stop)
เกิดจากการที่ฐานกรณเคลื่อนที่เขาหากันอยางสนิท คือ กรณสัมผัสฐานปดชองลมที่จุด
นั้นๆ ทําใหลมไมสามารถผานออกมา คือ ถูกกัก หรือหยุด เมื่อฐานกรณเคลื่อนที่ออกจากกัน แรงดันที่
เกิดจากลมกักหลังฐานกรณ ทําใหเกิดเสียงระเบิด เสียงกักชนิดนี้จึงเรียกวาเสียงระเบิด (plosive) เชน
เสียง p , p , b , t , d , k , I เปนตน
h
2.3.2 เสียงเสียดแทรก (fricative)
เกิดจากการที่ฐานกรณเคลื่อนที่เขาหากัน สัมผัสกันไมสนิท คือ กรณเขาใกลฐาน
แตไมแตะฐานกอใหเกิดชองลมเล็กๆ แคบๆ ที่ลมสามารถเสียดแทรกผานไปได เชน เสียง s , z , h , f , v
เปนตน
2.3.3 เสียงกึ่งเสียดแทรก (Affricate)
เกิดจากการที่ฐานกรณเคลื่อนที่เขาหากันปดสนิท แลวจึงแยกออกจากกันเล็กนอย
กอใหเกิดชองแคบๆ ใหลมเสียดแทรกออกมาได เชน เสียง ts , dz , t5 , d< เปนตน
2.3.4 เสียงกึ่งสระ (Semi-vowel)
เกิดจากการที่ฐานกรณเขาใกลกัน แตลมสามารถผานไปได เชน เสียง w , j เปนตน
2.3.5 เสียงลิ้นกระทบ (Tap) หรือ ลิ้นสะบัด (Flap)
เกิดจากกรณเคลื่อนที่ไปแตะฐาน แลวเคลื่อนที่ออกจากฐานทันทีหลังจากแตะ เชนเสียง
[4] คือปลายลิ้นเคลื่อนที่ไปแตะที่หลังปุมเหงือกและเคลื่อนที่ออกจากตําแหนงนั้นอยางรวดเร็ว
ตัวอยางเชนเสียง ‘ร’ ในการพูดปกติในภาษาไทยเปนตน
2.3.6 เสียงรัว (trill)
ปลายลิ้นเคลื่อนที่ไปแตะฐานที่หลังปุมเหงือกแลวเคลื่อนที่ออกอยางรวดเร็ว แตมี
การเคลื่อนที่เขาหาและออกหาง ไป-กลับ เชนนี้ซ้ําๆ กันหลายๆ ครั้ง เปนเสียงรัว แทจริงแลวเสียง “ร” ใน
ภาษาไทยปจจุบันเปนเสียงที่กลายมาจากเสียงรัวลิ้น คือ เสียง r เสียงรัวลิ้นมักจะพบเฉพาะเวลาที่ผูพูด
ตั้งใจ (จงใจ) พูด หรือ ในการอานออกเสียงภาษาไทยอยางระมัดระวัง
2.3.7 เสียงขางลิ้น (Lateral)
เกิดจากการที่ลิ้นสวนหนายกขึ้นสัมผัสฐานที่ปุมเหงือก ขณะที่ดานขางทั้งสองของลิ้น
งอตัวกอใหเกิดชองลมทําใหลมผานออกมานอกปากได เชน เสียง l เปนตน