Page 93 -
P. 93
โครงการรวบรวมและจัดทําวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปีที่ 41 ฉบับที่ 2 87
การทำงานอาสาสมัครจะมีค่าน้อยกว่า 0.5 % ของ GDP ประเทศนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม มูลค่าของการให้บริการและดูแลสมาชิกในครัวเรือนของผู้สูงอายุไทยสูงถึงร้อย
ละ 0.966 ของ GDP ซึ่งอาจเป็นผลจากวัฒนธรรมและบริบทของสังคมประเทศตะวันออก โดยสังคม
ตะวันออกมีค่านิยมที่ว่าคนรุ่นหลังมีหน้าที่ดูแลคนรุ่นก่อนหรือผู้อาวุโสกว่า อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากค่า
นิยมที่มองเรื่องความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่นใน
ระดับครอบครัวในระดับสูง (Alam, 2007) ค่านิยมนี้จึงก่อให้เกิดความผูกพันในครอบครัวมากขึ้น เมื่อ
สมาชิกในครอบครัวดูแลผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจึงรู้สึกอยากตอบแทนสิ่งที่บุตรหลานได้ทำให้เช่นกัน
สอดคล้องกับการศึกษาเอกสารที่ผ่านมา เช่น ผู้สูงอายุในไต้หวันมองว่าหน้าที่ในการดูแลเลี้ยงหลานและ
การทำงานบ้านเป็นหน้าที่ที่พวกตนควรกระทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระลูกของตน จึงทำหน้าที่เหล่านี้ให้เพื่อ
เป็นการต่างตอบแทน ถึงแม้จะเป็นสังคมเอเชียเช่นเดียวกันแต่สำหรับเรื่องการดูแลหลานและการทำงาน
บ้านของผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่นนั้นกลับพบว่า ผู้สูงอายุในญี่ปุ่นมองว่าการดูแลหลานนั้นไม่ใช่หน้าที่ของ
ตน เป็นเพียงทางเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากประเทศนี้มีระบบบำนาญที่ทั่วถึง
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้รับแหล่งเกื้อหนุนหลักจากภาครัฐไม่ใช่ลูกของตน จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้อง
ช่วยเหลือกันมากนัก (เอะมิโกะ โอะชิอะอิและคะโยะโกะ อุเอะโนะ, 2554) อีกทั้งในประเทศญี่ปุ่นพบว่า
ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่เพียงลำพังมีสูงถึงร้อยละ 15 ของผู้สูงอายุทั้งหมด และการทำงานสังคมโดยไม่ได้รับ
ค่าตอบแทนมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุ (Nakahara, 2013)
เมื่อพิจารณามูลค่าที่ได้จากการทำงานเชิงเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทยพบว่า มูลค่าจากการ
ทำงานเชิงเศรษฐกิจของผู้สูงอายุนั้นคิดเป็นร้อยละ 1.49 ของ GDPจากรายงานการสำรวจภาวะการทำงาน
ของประชากรไทย ปี พ.ศ. 2544 2547 และ 2554 พบว่า มูลค่าจากการทำงานเชิงเศรษฐกิจของผู้สูงอายุ
เพิ่มขึ้นในทุกปี โดยแสดงจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ได้จากการทำงานของผู้สูงอายุที่ได้รายได้เฉลี่ย
5,818 บาท ในปี พ.ศ. 2544 8,220 บาท ในปี พ.ศ. 2547 และ 12,609 บาท ในปี พ.ศ. 2554
(สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2544, 2547, 2554) นอกจากนี้การทำงานเชิงเศรษฐกิจของผู้สูงอายุยังเพิ่มมุม
มองเชิงบวกให้แก่ตัวผู้สูงอายุเอง สร้างความรู้สึกภูมิใจและเห็นคุณค่า โดยรู้สึกไม่ต้องเป็นภาระของลูก
หลานและสังคม เป็นการสร้างหลักประกันทางรายได้ให้แก่ตัวเอง อีกทั้งยังช่วยลดภาระของรัฐในการดูแล
ผู้สูงอายุด้วย (กุศล สุนทรธาดา, 2553)
จากมูลค่าเชิงเศรษฐกิจของการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้สูงอายุที่แสดงออกมา
ให้เห็นในรูปตัวเงินข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ผู้สูงอายุยังคงมีคุณค่าแก่สมาชิกในครอบครัวและสังคม โดย
เฉพาะอย่างยิ่งจากการคาดประมาณประชากรในอนาคตอีก 30 ปี ข้างหน้าของสำนักงานคณะกรรมการ
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่พบว่า ผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.2 ของประชากร
ทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2553 เป็นร้อยละ 32.1 ของประชากรทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2583 (สำนักงานคณะ
กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2556) มูลค่าของการทำกิจกรรมเหล่านี้ย่อมจะเพิ่มขึ้น
อย่างมหาศาล ดังนั้นการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านี้เพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการ
ส่งเสริมการเพิ่มคุณค่าและบทบาทของผู้สูงอายุทั้งในสายตาของตัวผู้สูงอายุเองและสายตาคนรอบข้าง
และสังคมเพิ่มขึ้น โดยในด้านการให้บริการชุมชนซึ่งผู้สูงอายุยังมีบทบาทน้อยอยู่เมื่อเทียบกับประเทศ