Page 14 -
P. 14

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว






                                                        บทคัดยอ


                        โครงการวิจัยเรื่อง “นโยบายน้ําไทย : ฐานความรูเพื่ออนาคต” มีวัตถุประสงคหลัก 5 ดาน คือ (1)
                 เพื่อรวบรวมนโยบายน้ําที่ไดกําหนดขึ้นจากอดีตถึงปจจุบัน (2)  จัดทําฐานขอมูลนโยบายน้ําเรียงตามลําดับ
                 เวลาในลักษณะจดหมายเหตุเพื่อใหอนุชนใชคนควาและอางอิง (3) เพื่อศึกษา สาเหตุของปญหาและปจจัยที่

                 เปนสาเหตุใหนโยบายน้ําที่กําหนดขึ้นในชวงเวลาตางๆ มีความสอดคลองหรือเปลี่ยนแปลง รวมทั้งผลที่
                 เกิดขึ้นจากนโยบาย (4) เพื่อศึกษาสถานการณทรัพยากรน้ําและการบริหารจัดการในปจจุบัน (5) เพื่อเสนอ
                 ประเด็นสําคัญที่จะนําไปใชในการกําหนดนโยบายน้ําเพื่ออนาคต
                        ผลจากการวิจัยพบวาจากหลักฐานที่ปรากฏในประวัติศาสตรของไทยนั้น รัฐไทยไดมีการกําหนด

                 นโยบายน้ํามาอยางตอเนื่องตั้งแตสมัยสุโขทัย เมื่อ พ.ศ. 1762 จนถึงปจจุบัน (พ.ศ. 2559) โดยเริ่มตนจาก
                 น้ําเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค และไดขยายไปสูการใชน้ําเพื่อกิจกรรมอื่น ในเวลาตอมาตามการ
                 เปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้นโยบายน้ําที่กําหนดขึ้นในอดีตถึงปจจุบันนั้น
                 สรุปไดวามีวัตถุประสงคหลักเพื่อแกไขปญหาทรัพยากรน้ํา 3 ประการ คือ (1) การขาดแคลนน้ําหรือภัยแลง

                 (2) อุทกภัย และ (3) คุณภาพน้ํา สาระสําคัญของนโยบายน้ําที่กําหนดขึ้นในอดีตถึงปจจุบัน ถึงแมจะไมมี
                 เอกภาพแตมีสาระสําคัญที่ไมแตกตางกันมากนัก เพราะสวนใหญแลวเนนการแกปญหาทั้ง 3 ประการนี้
                 โดยเฉพาะการจัดหาและพัฒนาแหลงน้ําจะแตกตางกันเพียงแตการขับเคลื่อนหรือการจัดทําแผนปฏิบัติการ

                 ขึ้นรองรับนโยบาย แตปญหาทั้ง 3 ประการยังคงมีอยูและมีแนวโนมวาจะรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากมีสาเหตุ
                 ของปญหา 5 ประการ คือ (1) การเมืองที่ขาดเสถียรภาพและแรงผลักดันในการแกไขปญหาอยางจริงจัง (2)
                 เงื่อนไขทางสังคมที่ขาดการมีสวนรวมของประชาชนจึงมีการตอตานโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ําของรัฐ (3)
                 การขาดแคลนงบประมาณที่จะดําเนินการพัฒนาทรัพยากรน้ํา (4) มีสถาบันหรือหนวยงานที่เกี่ยวของกับ
                 ทรัพยากรน้ําจํานวนมาก แตขาดการบูรณาการและหนวยงานที่เปนกลางในการจัดทําแผนเปนการเฉพาะ และ (5)

                 ขาดขอมูลทางวิชาการที่เปนที่ยอมรับของสังคมที่จะนําไปสูการพัฒนาทรัพยากรน้ํารวมทั้งการเตือนภัยพิบัติ
                 โดยเฉพาะระบบฐานขอมูลน้ํา โดยสาเหตุหลักแลวปญหาทั้ง 5 ประการนี้มาจาก “โครงสรางการบริหาร
                 จัดการทรัพยากรน้ําที่ไมเหมาะสมตอการแกปญหา” คณะวิจัยจึงไดเสนอแนวทางการแกไขปญหาโดยใหมี

                 โครงสรางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบ   “ประชารัฐ”  โดยใชหลักการมีสวนรวมในการบริหารจัดการน้ํา
                 ของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และมีโครงสรางการบริหารจัดการที่สําคัญคือ คณะกรรมการ
                 ทรัพยากรน้ําแหงชาติ (กนช.) สํานักงานเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแหงชาติ ศูนยขอมูลน้ํา
                 แหงชาติ คณะกรรมการลุมน้ํา และคณะอนุกรรมการลุมน้ําสาขา โดยมีเงื่อนไขวาทั้งหลักการและโครงสราง

                 การบริหารจัดการดังกลาวนี้ปรากฎเปนบทบัญญัติในกฎหมายแมบททรัพยากรน้ําแหงชาติ














                                                           ฏ
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19