Page 213 -
P. 213

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                                                                                         207



                 การเทียบเคียงมาตรฐานเท่านั้น ขณะนี้อยู่ในขั้น (Peer review)(http://www2.globalgap.org/applic_stand.html,

                 2552)

                        การเข้าสู่ระบบการผลิตพริกปลอดภัยทําให้เกิดต้นทุนสองอย่าง ซึ่งไม่เคยมีภาคส่วนใดต้องแบบกรับ

                 ภาระมาก่อน นั่นคือ ค่าตรวจสารเคมีตกค้างและค่าตรวจแปลง ปัจจุบันผู้ส่งออก/ผู้ประกอบการแบบรับภาระ
                 ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพื่อจูงใจให้เกษตรกรผลิตในระบบปลอดภัย แต่ในระยะยาวผู้ส่งออก/ผู้ประกอบการจะ

                 ยอมรับแบกรับภาระนี้ต่อไปหรือไม่ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ แนวทางหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นทางออกของปัญหานี้

                 คือ การช่วยกันจ่าย โดยค่อยๆ ลดในส่วนผู้ส่งออก และไปเพิ่มในส่วนของกลุ่มเกษตรกร เช่น ปีแรก ผู้ส่งออก

                 จ่าย 100% ปีที่ 2-5 ผู้ส่งออกจ่าย 90%, 80%, 70%, 60% และปีต่อๆ ไปสัดส่วนจะเป็น 50:50 ซึ่งจะช่วยให้กลุ่ม
                 เกษตรกรค่อยๆ ปรับตัวกับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ สําหรับค่าตรวจแปลงขณะนี้รัฐเป็นผู้แบกรับภาระ แต่อย่างไรก็

                 ตาม หากจะส่งผลผลิตไปยังกลุ่มประเทศยุโรป จะต้องตรวจโดยใช้มาตรฐานของ        GlobalGAP ซึ่งเป็น

                 ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งอาจทําให้เกษตรกรปฏิเสธที่ผลิตในระบบผลิตพริก

                 ปลอดภัย หลังจากที่ได้ยอมรับไปแล้วในตอนแรก เนื่องจากไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้

                        ยุทธศาสตร์การคัดเลือก รวมกลุ่ม และสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้มีศักยภาพในการปลูกพริกระบบ

                 ปลอดภัย

                  การดําเนินการที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ภาครัฐจําเป็นที่จะต้องเร่งตอบสนองนโยบายรัฐในเชิงปริมาณใน

                 การขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่ผลิตพริกในระบบ GAP โดยไม่ได้คํานึงถึงความพร้อมของบุคลากรและเกษตรกร

                 ในพื้นที่ ที่สําคัญยังไม่ได้มีการเชื่อมโยงระหว่างผู้ส่งออก ผู้ประกอบการหรือตลาดไว้ล่วงหน้า ตลอดจนไม่มี
                 การรวมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพริก เป็นเหตุให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในเรื่องราคา เนื่องจากผลผลิตที่ได้ก็ถูก

                 ส่งไปขายในตลาดเดียวกับพริกที่ปลูกทั่วไปในราคาที่ไม่แตกต่างกัน เกษตรกรจึงมองไม่เห็นว่ามีความจําเป็น

                 ที่จะต้องปรับเปลี่ยนระบบการผลิตให้ยุ่งยาก หรือมองไม่เห็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับการปลูกแบบเดิม

                  การรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้มีศักยภาพในการปลูกพริกปลอดภัยจึงมีความสําคัญเป็น

                 ลําดับแรก  เนื่องจากจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรสามารถให้ความรู้และติดตามการปฏิบัติเพื่อให้

                 คําแนะนําแก่กลุ่มเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถตัดสินใจในการให้
                 ความช่วยเหลือเรื่องเงินลงทุนได้ง่ายกว่าที่จะให้แก่เกษตรกรแต่ละราย ตลอดจนการรวบรวมและควบคุม

                 ความปลอดภัยของผลผลิตพริกของเกษตรกรโดยกลุ่มเกษตรกรจะทําได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผู้

                 ส่งออกจะเข้าไปรวบรวมและควบคุมแต่ละรายด้วยตนเอง

                  เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่และเกษตรกรผู้นํามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่ง ในการคัดเลือกและ

                 รวมกลุ่มเกษตรที่มีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบการผลิตพริกปลอดภัย กลุ่มละ
                 ประมาณ 10-15 ราย ตําบลละ 1 กลุ่มก่อน ที่สําคัญต้องเป็นรายที่มีความต้องการจะปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบการ

                 ผลิตพริกปลอดภัยอย่างแท้จริง ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ โดยใน อําเภอเมือง ควรเลือก หมู่ 2  ตําบลบ้าน

                 ยางก่อน เนื่องจากมีเกษตรกรปลูกพริกมากเกือบจะทุกหลังคาเรือน และที่  อําเภอกําแพงแสน ควรเลือกหมู่ 7
   208   209   210   211   212   213   214   215   216   217   218