Page 126 -
P. 126

โครงการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี




                               สัทวิทยา : การวิเคราะหระบบเสียงในภาษา                                                                                    บทที่ 10  พจนสัทวิทยา  119


                                                               บทที่ 10
                                                            พจนสัทวิทยา


                              10.1    ความสัมพันธระหวางระบบคําและระบบเสียง

                                        ที่มาของพจนสัทวิทยา เริ่มจากขอสังเกตที่วากฎการแปรเสียงมี 2  ประเภท คือประเภท

                           ที่มีหนวยคําหรือคําเปนบริบท โดยมีการแปรเสียงในลักษณะการแปรรูปหนวยคํา (morphophonemic
                           alternation) และประเภทที่ไมเกี่ยวของกับหนวยคํา แปรเสียงโดยมีเสียงเปนบริบท

                                        10.1.1  การแปรเสียงโดยมีหนวยคําหรือคําเปนบริบท เชน การแปรเสียงสระในการตอ
                                               ปจจัย (suffixation) ในภาษาอังกฤษ ตัวอยางคลาสสิคจากเอสพีอี ไดแก
                                               Trisyllabic laxing rule ในภาษาอังกฤษ

                           (1)                 divine       [aj]                 divinity    [+]
                                               serene       [ij]                 serenity   [ε]
                                               profane      [ej]                 profanity [æ]


                           (2)                 v      v     /       cv. cv] w
                                                          [-tense]

                                        ตามดวย vowel shift ซึ่ง กฎขอ (2) จําเปนตองอางถึงทายคํา   ] w  เปนบริบท ซึ่งเกิดจาก
                           การสรางคําใหมโดยการเติม –ity ตอทายรากศัพทเดิม ดังเชน


                                               [[divine] ity]  w            [divinity]  w

                                        10.1.2     การแปรเสียงที่มีเสียงเปนบริบท ไมเกี่ยวของกับหนวยคํา หรือคํา เชน การ

                                               แปรเสียงกักปุมเหงือก (alveolar stop) เปนเสียงกระดกลิ้น  (flap) ที่เรียกวา
                                               flapping rule ในภาษาอังกฤษ (Kenstowic<  1995)

                           (3)                 atom   [4],                atomic
                                               meet                       meetinI [4]
                                               what                                                 what is wronI [4]

                           (4)                 t       4  / v"       v

                                        การแปรเสียงโดยกฎขอที่ (4) นี้ ไมเกี่ยวของกับหนวยคําหรือคํา flapping rule นี้จะแปร

                           เสียง /t/  เปน [4] ในทุกกรณี รวมทั้งในระดับประโยคดวย เมื่อมีสระเนนและสระไมเนนเปนบริบทขาง
                           ซายและขางขวา ตามลําดับ ดังเชน (3)
   121   122   123   124   125   126   127   128   129   130   131