Page 184 -
P. 184

โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว





                  กาบล่างเป็นกลีบรองที่แข็ง  มีขนาดใหญ่กว่ากาบบนและครอบกาบบนไว้บางส่วน  ผิวนอกของ

          ทั้งกาบล่างและกาบบนมีสันตามความยาว (nerves) กาบล่างมี 5 สัน ส่วนกาบบนมี 3 สัน ปลายแหลมที่
          ยอดของกาบล่างและกาบบนเรียกว่าติ่งแหลมอ่อน (apicula) ส่วนหนวดข้าวหรือหางข้าวหรือรยางค์แข็ง

          (awn) ซึ่งเกิดจากการยืดขยายจากสัน (nerve) อันกลางของกาบล่าง
                  ภายในดอกย่อยมีดอก (flower) อยู่หนึ่งดอก ซึ่งประกอบด้วยเกสรเพศผู้ (stamen) และเกสร
          เพศเมีย (pistil)
                  เกสรเพศผู้  มีอับเรณู  (anthers)  ลักษณะเป็นสองพู  จ�านวน  6  อัน  แต่ละอันมีก้านชูอับเรณู

          (filament)
                  เกสรเพศเมีย ประกอบด้วยรังไข่ (ovary) ภายในมีออวุล (ovule) 1 อัน กับยอดเกสรเพศเมีย
          (stigma) 2 อันแต่ละอันมีก้านเกสรเพศเมีย (style) ซึ่งแยกออกเป็น 2 แฉก ชูยอดเกสรเพศเมีย ซึ่งมี

          ลักษณะเป็นพู่ (plumose)
                  เกสรเพศเมีย  คือ  อวัยวะซึ่งท�าหน้าที่ในการสืบพันธุ์  ประกอบด้วย  3  ส่วน  คือ  ส่วนล่างสุด
          โป่งพอง ภายในมีโพรงเรียกรังไข่ซึ่งอยู่บนฐานรองดอก ส่วนบนของรังไข่จะเรียวเล็กเป็นก้านเกสรเพศเมีย

          ปลายสุดเป็นยอดเกสรเพศเมีย ภายในรังไข่ของข้าวมีออวุล (ovule) 1 อัน ภายนอกมีก้านเกสรเพศเมีย
          ซึ่งแยกออกเป็น 2 แฉก ท�าหน้าที่ชูยอดเกสรเพศเมียออกมารับละอองเรณู
                  ออวุลอยู่ในรังไข่  ภายในออวุลจะมีไข่  (egg)  ซึ่งเมื่อไข่ได้รับการผสมพันธุ์จะเจริญกลายเป็น

          เมล็ด  ออวุลมีก้านออวุล  (funiculus)  ท�าหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างออวุลกับผนังรังไข่  โดยติดกับผนังรังไข่
          บริเวณที่เรียกว่า พลาเซนตา (placenta)
                  ส่วนล่างที่ฐานของรังไข่มีกลีบเกล็ดหรือโลดิคูล (lodicule) เป็นรูปไข่ 1 คู่ อยู่ติดกับโคนของ
          กาบล่างและกาบบน  ท�าหน้าที่ส�าคัญตอนดอกบาน  โดยปรับสภาพเซลล์ให้เต่งแล้วผลักยันจนกาบล่าง

          และกาบบนถ่างออก  เพื่อเปิดช่องให้เกสรเพศผู้โผล่พ้นออกมา  เมื่อดอกข้าวบานจึงเห็นอับเรณูและก้าน
          ชูเกสรเพศผู้ หลังจากอับเรณูแตกออกและโปรยหรือถ่ายละอองเรณู (pollination) แล้ว กลีบเกล็ดหรือ
          โลดิคูลจะแฟบลง ดึงให้กาบล่างและกาบบนกลับสู่ต�าแหน่งเดิม ท�าให้ดอกข้าวหุบ ข้าวเป็นพืชผสมตัวเอง

          (self  pollinated  crop)  อาจมีการผสมเกสรแบบข้ามต้น  (cross-pollination)  ประมาณ  0.5-5  %
          เท่านั้น ปรกติการถ่ายเรณูเกิดขึ้นภายในดอกเดียวกันในเวลาเช้า ก่อนที่กลีบล่างและกลีบบนจะบานออก
          เล็กน้อย  ดอกข้าวจะเริ่มบานจากปลายรวงลงมาสู่โคนของรวงข้าว  และรวงหนึ่งๆ  จะใช้เวลาประมาณ

          7 วัน เพื่อให้ดอกทุกดอกได้บานและมีการถ่ายเรณู
                  โพแทสเซียมเป็นธาตุที่มีบทบาทส�าคัญในการควบคุมการเต่งและแฟบของโลดิคูล  เช่นเดียวกับ
          ที่ช่วยควบคุมการเต่งและแฟบของเซลล์คุมซึ่งท�าให้ปากใบเปิดและปิด  การเต่งและแฟบของนวมโคนใบถั่ว

          หรือนวมโคนใบย่อยของไมยราบ ท�าให้ใบกางออกและหุบลงได้ (ยงยุทธ, 2558)
                  ภายหลังจากการถ่ายเรณูบนยอดเกสรเพศเมียแล้ว  หลอดเรณู  (pollen  tube)  จะงอกออก
          มาจากเรณู  แล้วแทรกตัวมาตามก้านเกสรเพศเมีย  จนมาบรรจบกับออวุลในรังไข่  แล้วเข้าสู่ขั้นตอนของ
          การปฏิสนธิ (fertilization)



          180 สัณฐานวิทยาของข้าว                                     ดิน ธาตุอาหารและปุ๋ยข้าว
   179   180   181   182   183   184   185   186   187   188   189